เรื่องการเชื่อถือ โชคลางนั้นไม่ได้มีเฉพาะคนไทย หรือคนที่มีการศึกษาน้อยเท่านั้น ฝรั่งจำนวนมากที่เชื่อถือเรื่องของโชคลางไม่แพ้คนไทย
เพียงแต่กรรมวิธีหรือ พิธีกรรมและสิ่งยึดเหนี่ยวอาจจะต่างกันออกไปเท่านั้น ผมเคยเห็นฝรั่งอเมริกันที่ทำหน้าที่ขับเครื่องบินรบ พกพวงกุญแจขากระต่ายติดตัวเพราะเชื่อว่าจะคุ้มครองชีวิตของเขาให้รอดใน สงครามเวียดนามได้
ตัวผมเองหากเชื่อถือตามโชคลางเช่นคนสมัยก่อน ปี พ.ศ. 2553 นี้ ดูทีจะเป็นปีที่โชคชะตาชีวิตของผมคงจะไม่ดีเท่ากับปีอื่นๆ เพราะโดยปรกติในวันที่ 1 ม.ค.ของทุกปี ผมจะสวมใส่เสื้อสีสดๆ เช่นสีเหลืองและสีแดงมาตลอดตั้งแต่อายุได้สักสิบขวบ และต้องเป็นเสื้อใหม่เอี่ยมเท่านั้น
แต่วันที่ 1 ม.ค. 2553 ที่ผ่านมา ผมกลับใส่เสื้อสีขาวใหม่เอี่ยมจนญาติพี่น้องแปลกใจ เหตุผลที่ผมหันมาใส่เสื้อสีขาวเพราะขี้เกียจให้ใครมาคิดว่า ผมฝักใฝ่การเมืองด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้นเอง ถัดมาถึงวันที่ตรงกับวันเกิดของผม ซึ่งผมจะหาเวลาไปทำบุญใส่บาตร และใส่เสื้อผ้าสีแดงหรือสีเหลืองสดๆ ตัวใหม่ทุกปีเช่นกัน
ปีนี้ผมกลับสวมเสื้อสีส้มสดๆ แทน และใช้เวลาตั้งแต่หกโมงเช้าไปโรงพยาบาลเพื่อรอพบหมอ ก่อนที่จะเดินทางไปต่างประเทศในช่วงสาย เช่นเดียวกันกับในวันที่ 13 ก.พ. ซึ่งตรงกับวันไหว้ในเทศกาลตรุษจีน ผมก็ต้องเปลี่ยนอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าถึงสองครั้งในช่วงเช้า
ส่วนวันถัดมาซึ่งตรงกับวันปีใหม่และวันวาเลนไทน์ คนจีนทั่วไปจะพยายามหลีกเลี่ยงการอาบน้ำสระผม และงดกระทำสิ่งที่คิดว่าไม่เป็นมงคล ขนาดเอาไม้กวาดไปซ่อนไว้ในที่ลับตาไม่สามารถมองเห็นได้ วันนั้นผมกลับเดินหน้าเข้าโรงพยาบาลเสียแต่เช้ามืด เจาะเลือดฉีดยาหาหมอกินยา จนครบถ้วน
แต่สิ่งที่บางคนอาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องไม่เป็นมงคล ผมก็พยายามหาเหตุผลในมุมที่เป็นบวกมาบอกกับตัวเองได้ อาทิเช่น การไปหาหมอเจาะเลือดฉีดยาในวันชิวอิ้ดหรือวันปีใหม่ ผมก็เชื่อว่าเป็นสิ่งดีมีมงคลต่อชีวิต เพราะเท่ากับว่าผมไปทำให้ตัวผมเองแข็งแรงตลอดทั้งปี โรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายจะได้ไม่มาเบียดเบียน จนทำให้ป่วยกระเสาะกระแสะอีกต่อไป
เมื่อพูดถึงเรื่องของความเชื่อในโชคลางแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคนใช้รถจำนวนมากที่เชื่อถือโชคลางเช่นกัน มีหลายคนที่ยังเชื่อว่าในรถทุกคันมีแม่ย่านางคอยดูแลปกปักรักษา จึงมีการตั้งเครื่องบวงสรวงเซ่นไหว้ตามเทศกาล หรือเมื่อทำการซื้อรถมาใหม่ๆ ก็จะนำไปให้พระสงฆ์ หรือคนที่ตนเองนับถือทำการเจิมให้
เมื่อครั้งที่ผมยังขับรถบรรทุกสิบล้อวิ่งร่อนทำมาหากินอยู่ ก็พบเห็นตลอดเวลาว่าคนขับรถบรรทุกจำนวนมากมาย ที่ยังเจียดเงินเบี้ยเลี้ยงจำนวนน้อยนิดไปซื้อพวงมาลัย มาแขวนเอาไว้ที่บริเวณกระจกบังลมหน้า เพราะเชื่อว่านั้นคือเครื่องเซ่นไหว้สำหรับแม่ย่านางประจำรถ และหลายคนมากที่มีข้อห้ามไม่ให้ใครผู้ใดผู้หนึ่ง ยกเท้าพาดไปที่แผงคอนโซลด้านหน้า เพราะเชื่อว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำรถ
แม้ในปัจจุบันนี้ เรายังพบเห็นรถยนต์จำนวนมากที่วิ่งไปมาบนท้องถนน โดยมีช่อดอกไม้ผูกติดอยู่กับกระจังหน้ารถ ซึ่งมีทั้งรถยนต์ใหม่ป้ายแดงและรถยนต์ใช้แล้ว ที่อาจจะเพิ่งเปลี่ยนมือเจ้าของผู้ครอบครอง หรือแม้แต่ยังคงอยู่กับเจ้าของเดิม แต่บังเอิญเป็นช่วงเทศกาลสำคัญเช่นตรุษจีน
มีคำไทยๆ ของเรากล่าวเอาไว้ว่า "ไม่เชื่อ ก็จงอย่าลบหลู่" ผมเองแม้จะเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง แต่รับรองได้ว่าไม่เคยลบหลู่อะไรทั้งสิ้น เพียงแต่อยากจะหาทางให้ความเชื่อนั้น ไม่ย้อนกลับมาทำร้ายผู้คนที่เชื่อถือเท่านั้นเอง เพราะผมเชื่อว่าการสักการะเซ่นสรวงที่ดี ย่อมแตกต่างจากการบูชายัญเป็นอย่างยิ่ง
ประการแรก หากท่านยังคงใช้วิธีเอาช่อดอกไม้มาผูกติดกับกระจังหน้ารถ ก็จงเอาช่อดอกไม้ออกจากกระจังหน้ารถ หลังจากผ่านเวลาของการถวายหรือเซ่นสรวงไปแล้วหนึ่งวัน เพราะดอกไม้และใบไม้ที่แห้งอาจจะปลิวเข้าไปติดกับรังผึ้งหม้อน้ำ ทำให้ลมไหลเข้าไปพัดระบายความร้อนในห้องเครื่องได้ยากขึ้น ส่งผลทำให้เครื่องยนต์ร้อนจัดหรือโอเวอร์ฮีทขึ้นมาได้
หรือบางครั้งกลีบของดอกไม้และใบไม้ที่แห้งกรอบ อาจจะถูกพัดปลิวเข้าไปอยู่ในห้องเครื่อง ซึ่งมีชิ้นส่วนที่มีความร้อนสูงอยู่มากมาย อาทิเช่น ที่บริเวณคอท่อไอเสียหรือเฮดเดอร์ บริเวณติดกับเสื้อสูบ หรือบริเวณด้านล่างของเสื้อสูบเช่นที่แคตตาลิติคคอนเวอร์ทเตอร์ เมื่อดอกไม้แห้งหรือใบไม้แห้งปลิวเข้าไปโดนบริเวณเหล่านั้น ความร้อนก็จะทำให้ใบไม้แห้ง และกลีบดอกไม้แห้งลุกไหม้เป็นไฟขึ้นมา
ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงแนะนำให้ท่านเอาช่อดอกไม้ออกไป เมื่อเห็นว่าเริ่มแห้งกรอบแล้ว หรือเมื่อผ่านช่วงเวลาของเทศกาลแห่งการเซ่นไหว้ไปแล้ว เพื่อความปลอดภัยจากอัคคีภัยที่อาจจะเกิดขึ้นมาได้ และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเครื่องยนต์ร้อนจัด ดังที่บอกเอาไว้ในเบื้องต้นครับ

โชคดี หรือโชคร้าย
เขียนโดย
khanomthai
|