คำถามที่ผู้คิดจะ ซื้อรถถามมาที่ผมส่วนใหญ่จะเริ่มต้นด้วย "อาจารย์ครับ ผมมีเงินสี่แสนแปด จะซื้อรถอะไรดีครับ"
นานๆ ครั้งหรือประมาณไม่เกินร้อยละห้าที่จะถามด้วยคำถามเริ่มต้นว่า "อาจารย์ค่ะ ดิฉันอยากได้รถยนต์สักคันหนึ่ง เอาไว้ขับจากบ้านไปที่ทำงาน ระยะทางไป-กลับ ไม่เกินยี่สิบกิโลเมตร ทางลาดยางตลอดสาย ปีละไม่เกินสองครั้งจะขับกลับไปเยี่ยมแม่ที่ระยองสักที ปกติใช้งานคนเดียว ดิฉันมีงบประมาณอยู่เจ็ดแสนบาท ควรมองรถอะไรบ้างคะ"
คนที่เริ่มต้น ด้วยประโยคแบบหลังนี่ละ ที่จะส่อให้เห็นว่าเป็นคนที่มีการวางกรอบความคิดเลือกรถอย่างมือโปรเอาไว้เป็นเบื้อง ต้น เพราะบอกวัตถุประสงค์และสภาพการใช้งานมาค่อนข้างชัดเจน แต่คนที่เริ่มต้นคิดซื้อรถแล้วนำเอางบประมาณมาเป็นตัว ตั้งอย่างแรก ท้ายที่สุด คงต้องไปปวดหัวกับการที่จะเริ่มต้นมีคำถามที่ไม่รู้จบตามมา อาทิเช่น "จะซื้อรถยุโรปมือสอง หรือซื้อรถญี่ปุ่นมือหนึ่งดีกว่ากัน" เป็นต้น
จงจำไว้ว่า การเอาวัตถุประสงค์ของสภาพการใช้งานมาเป็นตัวตั้งหรือมาเป็นโจทย์ จะทำให้คำตอบออกมาได้เหมาะสมมากกว่า ตามตัวอย่างคำถามของคุณสุภาพสตรีที่ถามมา จะเห็นได้ชัดเจนว่า สามารถซื้อรถยนต์มาใช้งานได้ด้วยราคาไม่ เกินหกแสนบาทเท่านั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์มือหนึ่งของญี่ปุ่น หรือรถยนต์มือสองของยุโรปก็สนองตอบ วัตถุประสงค์ดังกล่าวได้ดีเท่าเทียมกัน
อาทิเช่น สามารถซื้อรถยนต์ โตโยต้า โซลูน่า วีออส เกียร์อัตโนมัติ หรือจะเอา ฮอนด้า ซิตี้ เกียร์อัตโนมัติ ทั้งสองยี่ห้อไม่จำเป็นต้องเลือกรุ่นที่มีอุปกรณ์ไม่ต้องครบแบบที่เรียกว่า ฟูลออปชั่น แต่อย่างใด เพราะระยะทางไป-กลับ ยี่สิบกิโลเมตร ในแต่ละวัน เวลาที่อยู่บนรถไม่น่าจะเกินสองชั่วโมงต่อให้รถติดมากมายขนาดไหนก็ตาม
ความเร็วสูงสุดเฉลี่ยในการใช้งานก็น่าจะอยู่ที่ไม่เกินแปดสิบกิโลเมตรต่อ ชั่วโมง เพราะเป็นคนทำงานที่ส่วนใหญ่จะเดินทางในช่วงเวลาเดียวกันกับประชากรส่วนใหญ่ การจราจรจึงค่อนข้างติด การเลือกเอารถยนต์ที่มีแรงม้าสูงๆ จึงไม่จำเป็น รวมทั้งระบบ ABS หากสามารถลดทอนราคาลงไปได้อีกหลายหมื่น บาทก็ยังถือว่าสามารถลดทอนได้ เพราะว่าในสภาพการใช้งานดังกล่าว โอกาสที่จะได้ใช้ประสิทธิภาพของ ABS ก็มีไม่มากนัก ส่วนถุงลมนิรภัยจะมีหรือไม่มีก็ได้เช่นกัน หากต้องการจะมีและสามารถเลือกได้ ให้เลือกชนิดที่มีใบเดียวก็เหลือจะพอ เพราะบอกมาว่าปกติใช้งานคนเดียวเป็นส่วนใหญ่
ในโจทย์ตัวอย่างที่ให้ มา หากว่าเจ้าของคำถามต้องการเลือกเอารถยนต์ยุโรปมาใช้งาน จะด้วยความเชื่อส่วนตัวว่ารถยนต์ยุโรปดีกว่ารถญี่ปุ่น มีความปลอดภัยมากกว่า หรือจะเชื่อว่านั่งรถยุโรปแล้วดูดีมีสง่าราศีกว่าก็ ตาม ก็สามารถเลือกรถยุโรปมาใช้งานได้ โดยไม่ต้องไปกลัวปัญหาที่มักจะมีคนเตือนกันมาก ว่า "ซ่อมยากนะ" หรือ "กินน้ำมันมากนะ" หรือแม้แต่คำเตือนที่ว่า "หาอู่และอะไหล่ยากนะ" ฯลฯ
รถยนต์ยุโรป อาทิเช่น เบนซ์ 230 E รหัสตัวถัง W124 ที่เรียกกันว่ารุ่นโลงจำปา ปีประมาณ 1988 ก็พอหาซื้อได้ในราคาระดับหกแสนบาทบวกลบ ค่าซ่อมถูกกว่ารถยนต์ญี่ปุ่นรุ่นใหม่ๆ ขนาดกลาง อัตราการกินน้ำมันก็ไม่น่าห่วง เพราะใช้รถยนต์วันละไม่เกินยี่สิบ กิโลเมตร สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงต่างกันไม่มากนัก ส่วนเรื่องช่าง เรื่องอู่ และปัญหาอะไหล่ เป็นปัญหาเล็กน้อย เพราะส่วนใหญ่ใช้รถยนต์คันนี้อยู่ในกรุงเทพฯ สามารถหาอู่ที่มีความชำนาญรถดังกล่าวได้ทั่วไป อะไหล่ก็หาซื้อได้ตามร้านอะไหล่ทั่วไปทั้งอะไหล่ใช้แล้วและอะไหล่ใหม่ ข้อสำคัญอยู่ที่ต้องเลือกหาซื้อรถที่สภาพตัวถังไม่ช้ำมากนัก หรือผ่านการซ่อมตัวถังปะผุทำสีมาอย่างดีไม่มีที่ติแล้ว เรื่องเครื่องยนต์และช่วงล่างสามารถซ่อมและบูรณะให้คืนสภาพได้ง่าย
ทั้งนี้ หากได้ข้อมูลเรื่องระยะเวลาของความต้องการครอบครองรถยนต์คันดังกล่าว ก็จะตัดสินใจได้ง่ายขึ้น อาทิเช่น หากต้องการใช้รถยนต์คันนี้ไปอีกไม่น้อยกว่าห้า ปีถึงจะเปลี่ยนรถ อย่างนี้ก็แนะนำให้ย้อนกลับไปหาคำตอบจากคำแนะนำแรก เพราะจะได้รถยนต์ใหม่ที่อายุน้อย ระยะเวลาห้าปียังไม่มีสาเหตุอะไรที่จะต้องซ่อมบำรุงใหญ่ แต่หากเป็นการเลือกเอารถยนต์ยุโรปตามคำแนะนำหลัง กว่าจะครบห้าปีรถยนต์คันดังกล่าวก็จะมีอายุเกิน กว่าสิบห้าปี ทำให้สภาพของรถเสื่อมโทรมจนต้องซ่อมบำรุงอีก ครั้ง และราคาขายต่อจะตกลงจนถึงระดับหมดราคาทีเดียว
การเลือกรถยนต์ตามวัตถุประสงค์ใช้งานจริง จะทำให้ประหยัดเงินตราได้มาก ครับ

เลือกรถตามการใช้งาน
เขียนโดย
khanomthai
|