สำหรับผู้ใช้รถยนต์ การตรวจสอบและซ่อมบำรุงเป็นสิ่งที่สำคัญ และการที่สถานที่จะไปใช้บริการก็เป็นสิ่งที่สำคัญ วันนี้เรามีวิธีเลือกใช้บริการมาให้ท่านได้เลือกใช้บริการ
วันหนึ่งเมื่อพบว่ารถยนต์คู่ใจของคุณเกิดป่วยขึ้นมา ดูอาการแล้วคงไม่แคล้วต้องส่งให้มืออาชีพจัดการ ว่าแต่ว่าคุณจะเลือกไปส่งรักษาตัวที่ไหนดี...ระหว่างศูนย์บริการ อู่ซ่อม หรือศูนย์ซ้อมอิสระ เพื่อให้รถของคุณหายจากอาการป่วย พร้อมกับได้รับความคุ้มค่า คุ้มราคาที่สุด คนรักรถ รวมรวบข้อมูลมาให้คุณพิจารณาประกอบการตัดสินใจ ก่อนรถของคุณจะถูกส่งซ่อมไปแบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์
รถใหม่ต้องศูนย์บริการ
เนื่องจากรถยนต์ป้ายแดงทุกรุ่นจะมีการรับประกันคุณภาพของอุปกรณ์ และความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการผลิตในขอบเขตที่เหมาะสม ซึ่งหากยังอยู่ในระยะประกัน แนะนำว่าควรนำรถยนต์เข้ารับบริการดูแลและตรวจสอบสภาพที่ศูนย์บริการเท่านั้น การนำรถยนต์ไปซ่อมนอกศูนย์บริการอาจทำให้การรับประกันทั้งหมดถูกยกเลิก รวมถึงการไม่ยอมนำรถเจ้าศูนย์บริการเพื่อตรวจสภาพตามเวลาที่กำหนด กรณีที่รถเสียกลางทางสามารถให้ช่างทั่วไปซ่อมแซมเบื้องต้นได้ แต่ห้ามเปลี่ยนอุปกรณ์หลักโดยเด็ดขาด ดังนั้นผู้ใช้รถใหม่และยังอยู่ในระยะประกัน อย่าว่างเว้นปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด
ขับขี่ไปสักพักก็ถึงเวลาที่รถหมดระยะประกันคุณภาพ ซึ่งคราวนี้คุณต้องเลือกแล้วล่ะว่าจะพารถไปซ่อมที่ใด
ศูนย์บริการ-เมื่อ นำรถเข้าศูนย์บริการหลังพ้นระยะประกันควรบอกความประสงค์ให้ชัดเจน ถ้ามีอะไหล่ชิ้นไหนเสียให้ช่างแจ้งราคาก่อนลงมือเปลี่ยนทุกครั้ง ไม่เช่นนั้นคุณอาจลบจับจากราคาอะไหล่ที่ช่างทำการเปลี่ยนให้รถคุณก็เป็น ได้ เนื่องจากเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าศูนย์บริการนั้นเป็นตัวทำกำไรสำคัญของ บริษัทผู้จำหน่ายรถยนต์ การเข้าศูนย์บริการถึงแม้ราคาจะแพงไปหน่อย แต่ก็มีข้อดีอยู่ที่การรับประกันคุณภาพการซ่อมและอะไหล่ที่มั่นใจได้
อู่ซ่อมทั่วไป-อู่ ในลักษณะนี้มีหลายระดับ ต้องเริ่มดูกันตั้งแต่ฝีมือของช่าง เครื่องมือที่ได้มาตรฐาน คุณภาพของอะไหล่การคิดราคาอย่างตรงไปตรงมา การเช็กสภาพรถก่อนเข้าอู่ว่าอยู่ในสภาพไหน เลขไมล์เท่าไหร่ ถือเป็นเรื่องที่สำคัญและไม่ควรมองข้าม เนื่องจากบางอู่อาจมีช่างแอบเอารถลูกค้าไปใช้งานหลังซ่อมเสร็จ ฉะนั้นการจดจำและตรวจสภาพรถอย่างรอบคอบก่อนเข้ารับการซ่อมจากอู่ซ่อมทั่วไป เรื่องที่ผู้ใช้รถควรใส่ใจ เพราะจะได้มีหลักฐานอ้างกับเจ้าของอู่ได้ในกรณีที่มีสิ่งผิดปกติหรือเสียหาย
ศูนย์ซ่อมอิสระ-เน้น การดูแลรักษาและตรวจซ่อมโดยใช้เวลาไม่นานมาก เช่น เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง , เปลี่ยนยาง , เปลี่ยผ้าเบรก , ตั้งศูนย์ถ่วงล้อ ฯลฯ ระบุค่าแรงการซ่อมอย่างชัดเจน จุดเด่นคือ ค่าแรงถูกกว่าศูนย์บริการหรือบางแห่งก็ไม่คิดค่าแรง เครื่องมือมีมาตรฐานครบครัน มีอะไหล่ให้เลือกหลากหลายยี่ห้อพร้อมการรับประกัน เมื่อรู้อย่างนี้ลองตัดสินใจกันดูนะครับ
ที่มา วารสารพลังไทยและขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

เมื่อรถป่วย!!จะไปศูนย์หรืออู่ซ่อมดี

วิธีดูแลล้ออัลลอยให้สวยงาม
ล้ออัลลอย ถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่มาพร้อมกับตัวรถยนต์ มีลักษณะเงาวาว แตกต่างกันไปตามยี่ห้อ ตามความชอบซึ่งในปัจจุบันเราก็ใช้รถกันอยู่แทบจะทุกวันอยู่แล้ว ซึ่งมันก็เป็นสาเหตุทำให้เกิดความสกปรกตามมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นฝุ่น คราบดินโคลน เศษหิน และยิ่งถนนที่เพิ่งเทยางมะตอยใหม่ๆยิ่งแล้วใหญ่ มันก็จะกระเด็นมาเกาะติดรถของคุณอย่างแน่นอน ที่นี้ล้ออันสวยงามของคุณก็จะไม่น่ามอง
หากคุณไม่รีบรักษาหรือปล่อยปะละเลย รอจนแห้งติดล้อเป็นเวลานานๆแล้วละก็ อาจจะทำให้ความเงาของล้อหายไปแน่นอน การดูแลรักษาก็ทำไม่ยากเลยคุณต้องไม่ล้างล้อรถยนต์ในขณะที่มีอุณภูมิสูง เพราะอาจจะทำให้คราบสกปรกต่างๆ แห้งและยึดติดเกาะสีล้ออัลลอยซ้ำลงไปอีก และหลังจากที่คุณล้างรถและเช็ดจน
แห้งแล้วให้สังเกตดูว่ามีคราบติดอยู่ที่ล้ออีกไหม หรือว่าถ้ามีคราบยางมะตอยติดอีกละก็ ควรใช้น้ำมันก๊าด/น้ำมันสน หรือน้ำยาเช็ดคราบสกปรกเช็ดออก แต่ถ้าบ้านใครมีสุนัข แล้วบังเอิญมันมาฉี่ราดใส่ล้อคุณ คุณก็ควรรีบทำความสะอาดทันที ไม่งั้นมันอาจจะกัดเป็นคราบเหลืองและทำให้ล้ออัลลอยลอกหลุดออก ดังนั้นคุณเห็นมันฉี่คุณต้องรีบเอาน้ำราดตามทันทีไม่งั้นล้อสวยๆๆของคุณ อาจไม่งามเหมือนตอนถอยมาใหม่ๆๆแน่นอน

ขับเกียร์ออโต้อย่างไรให้ปลอดภัย
เรามาดูวิธีการขับขี่เกียร์อัตโนมัติที่ถูก ต้องและเป็นประโยชน์ต่อเกียร์และกระเป๋าของท่าน
1) การขับรถเกียร์ออโต้โดยทั่วๆไป ที่ไม่จำเป็นจะต้องใช้เทคนิคพิเศษแบบนักแข่งรถ ควรใช้เท้าขวาเพียงเท้าเดียวในการเหยียบคันเร่งเบรค ไม่ควรใช้เท้าซ้ายเหยียบเบรค
2) สำหรับท่านที่เพิ่งจะเริ่มขับรถ พยายามเบรคด้วยเท้าขวาเท่านั้น และเหยียบเบรคทุกครั้งก่อนสตารท์รถ เพื่อป้องกันอันตรายถึงแม้ตำแหน่งเกียร์จะอยู่ที่ตำแหน่ง(P)หรือ(N)ก็ตาม และเหยียบเบรคทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ว่าง( N ) หรือเกียร์จอด (P) ไปเป็นเกียร์เดินหน้า (D) หรือเกียร์ถอยหลัง (R) จำไว้ให้ขึ้นใจครับ รถหยุดนิ่ง เหยียบเบรคก่อนทุกครั้งก่อนขยับเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ครับ
3) ถ้าท่านเลื่อนคันเกียร์ออกจากตำแหน่งเดินหน้า (D) ไปเป็นตำแหน่งถอยหลัง (R) หรือเปลี่ยนจากตำแหน่งถอยหลัง (R) ไปเป็นตำแหน่งเดินหน้า (D) ควรให้รถหยุดสนิทให้เรียบร้อยก่อน หลายท่านขับแบบใจร้อนและผิดวิธี รถยังคงเคลื่อนที่อยู่ก็รีบเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ จะทำให้เกียร์มีอายุการใช้งานสั้น อย่าลืมว่า ค่าซ่อมหรือเปลี่ยนเกียร์ใหม่ในรถยนต์บางรุ่นมีราคาสูงมาก
4) ขณะที่รถวิ่งอยู่ไม่ควรเข้าเกียร์ตำแหน่ง (N) เช่นเห็นไฟแดงข้างหน้าแต่ยังอีกไกล กลัวว่าจะไม่ประหยัดน้ำมัน ท่านจึงเข้าเกียร์ในตำแหน่ง (N) และปล่อยให้รถไหลไปจนถึงไฟแดง รถแทบทุกรุ่นในยุคปัจจุบันใช้ระบบหัวฉีดควบคุด้วยสมองกลที่ทันสมัย การจ่ายเชื้อเพลิงขึ้นตรงกับลิ้นปีกผีเสื้อ ถ้าท่านยกเท้าออกจากคันเร่งลิ้นปีกผีเสื้อก็จะปิดทันที เซนเซอร์ลิ้นปีกผีเสื้อจะรายงานกล่องสมองกลที่ควบคุมระบบการจ่ายเชื้อเพลิง ให้หยุดทำการจ่ายน้ำมันทันที ไม่มีความจำเป็นที่ต้องปลดเกียร์ว่าง (N) แต่อย่างใด และยังเป็นผลเสียอย่างร้ายแรงต่อเกียรืของท่านอีกด้วย เนื่องจากรถยนต์ในขณะเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว เกียร์ที่อยู่ในตำแหน่ง(D) จะมีปั้มแรงดันสูง ส่งน้ำมันเกียร์เข้าไปหล่อลื่นอยู่ตลอดเวลา
แต่ปั้มน้ำมันของเกียร์อัตโนมัติจะทำงานน้อยลงเมื่อเกียร์ อยู่ในตำแหน่ง (N) เมื่อไม่มีแรงดันที่พอเพียงจะดันน้ำมันไปหล่อลื่นเกียร์อย่างเพียงพอ จะทำให้เกียร์ออโต้ของท่านร้อน และเกิดการสึกหรอเสียหายตามมา และด้วยสาเหตุนี้เองเวลารถที่ใช้เกียร์ออโต้เสียและจำเป็นต้องลากไปอู่จึงจำ เป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเติมน้ำมันเกียร์เพิ่มเข้าไปอีก เพื่อช่วยลดความร้อนของเกียร์ขณะที่ทำการลากจูง หรือถ้าหาน้ำมันเกียร์มาเติมไม่ได้ ควรยกให้ล้อที่ใช้ขับเคลื่อนให้ลอยพ้นพื้นถนนเนื่องจากระบบปั้มน้ำมัน เพาว์เวอร์ของระบบเกียร์อัตโนมัติหยุดทำงาน ไม่แนะนำให้ถอดเพลาสำหรับรถขับเคลื่อนล้อหลังเพระยุ่งยากและเสียเวลามากครับ ปัจจุบันนี้มีรถยก 6 ล้อ แบบสไลด์ออนสามารถนำรถทั้งคันขึ้นไปไว้บนกระบะหลัง สะดวกสบายและปลอดภัยต่อเกียร์อัตโนมัติและรถยนต์ราคาแพงของท่านครับ
5) การเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ 2 ต้องระมัดระวังเนื่องจากตำแหน่ง 2 จะมีอัตตราทดเฉพาะเกียร์ 1 และ 2 ซึ่งบริษัทผู้ผลิตต้องการทำให้ท่านเจ้าของรถใช้งานในกรณีที่ต้องการแรงบิด มากๆเช่นทางขึ้นเนินที่ค่อนข้างชัน หรือต้องการการหน่วงความเร็วของรถเอาไว้เช่นในขณะที่ขับรถลงเนินเขา(ENGINE BRAKE) หรือวิ่งบนเส้นทางที่คดเคี้ยว ลาดชันมากๆ ห้ามใช้ตำแหน่งเกียร์ 2 ในขณะที่ท่านขับรถด้วยความเร็วสูง เพราะจะทำให้เครื่องยนต์ใช้รอบเครื่องสูงตามไปด้วย จนเกินขีดจำกัดและก่อให้เกิดความเสียหาย และอาจลื่นไถลเนื่องจากเกิดแรงบิดมหาศาลมากระทำที่ล้อ ทำให้รถเสียการทรงตัวได้ครับ
6) ไม่ควรขับลากเกียร์ โดยทั่วไปการขับรถยนต์เกียร์อัตโนมัติ ตำแหน่งเกียร์จะอยู่ที่ (D) ระบบสมองกลที่ควบคุมเกียร์จะทำการสั่งงานให้ปรับเปลี่ยนเกียรให้ขึ้นลงตาม ความเหมาะสมและความเร็วของรถอยู่ตลอดเวลา บางท่านรู้มากใช้วิธีเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์โดยการเลื่อนคันเกียร์ขึ้นลงเองใน ขณะที่รอบเครื่องทำงานสูงสุดเพียงเพื่อหวังผลทางด้านอัตราเร่งแต่จะมีผลทำ ให้ผ้าคลัทช์ และระบบทอกค์คอนเวอร์เตอร์เกิดการสึกหรอเสียหาย และทำให้มีอายุการใช้งานของเกียร์อัตโนมัติสั้นลง
7) ไม่ขับแบบเปลี่ยนเกียร์ลงต่ำเอง(คิกดาวน์)บ่อยๆ การขับในตำแหน่ง (D)ระบบสมองกลควบคุมเกียร์จะทำการคำนวนค่าของแรงต่างๆและปรับเปลี่ยนตำแหน่ง เกียร์ตามความเร็วของรถในขณะนั้นตลอดเวลาอยู่แล้ว การกดคันเร่งเพื่อเปลี่ยนเกียร์ลงต่ำหรือที่เรียกว่าคิกดาวน์ ไม่ควรทำบ่อยครั้ง หรือทำเท่าที่จำเป็นในการเร่งแซงให้พ้นเท่านั้น ถ้าท่านทำบ่อยๆ ผ้าคลัทช์ของเกียร์จะทำงานหนักและสึกหรอเร็วมากขึ้นครับ
8) ควรมีสายพ่วงแบตตารี่ติดท้ายรถไว้ตลอดเวลา เนื่องจากรถยนต์เกียร์อัตโนมัติไม่สามารถเข็นด้วยความเร็วต่ำแล้วกระตุ กสตารท์ให้ติดเครื่องยนต์ได้เหมือนรถยนต์เกียร์ธรรมดา การเข็นรถเกียร์อัตโนมัติแล้วใช้วิธีกระตุกสตารท์ ต้องใช้ความเร็วอย่างน้อย 20กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเข็นด้วยแรงคนเป็นไปได้ยาก และยังเสี่ยงกับความเสียหายต่อเกียร์ในขณะที่ทำการเข็นหรือลากอีกด้วย ควรตรวจสอบแบตตารี่ให้มีไฟพอเพียงต่อการสตารท์ทุกครั้งครับ
9) น้ำมันเกียร์อัตโนมัติหัวใจของการหล่อลื่นและยืดอายุการใช้งานของเกียร์รถ ท่านให้ยาวนาน จึงควรเอาใจใส่ตรวจสอบบ่อยๆ การตรวจเช็คระดับน้ำมันเกียร์ให้อยู่ในระดับที่ไม่ต่ำกว่าขีดที่ก้านวัด กำหนดหมั่นเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามระยะทางทีแนะนำ ไม่มีเกียร์อัตโนมัติใดไม่ต้องการการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ตลอดอายุการใช้ งานของรถตามที่มีหลายๆบริษัทผู้ผลิตรถยนต์โฆษณาชวนเชื่อให้รถยนต์ของตนดูทน ทานและแข็งแรงตามความเป็นจริงจากสภาพการจราจร อุณภูมิ และสภาพการขับขี่ เกียร์อัตโนมัติทุกยี่ห้อยังต้องการการดูแลแปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ตามระยะ ทางที่ใช้ครับ
10) ตำแหน่งในเกียร์อัตโมติ
P)PARKING-เป็นตำแหน่งเกียร์ที่ใช้จอดในลักษณะเป็นที่เป็นทางไม่จอดขวางทาง รถคันอื่นแล้วใส่ตำแหน่งเกียร์นี้ไว้
หรือจอดในทางที่มีลักษณะลาดชัน และใช้ในตำแหน่งสตารท์เครื่องยนต์
R) REVERSE-เป็นตำแหน่งเกียร์ถอยหลัง เหยียบเบรคทุกครั้งที่จะเข้าเกียร์ในตำแหน่งนี้
N) NEUTRAL-เป็นตำแหน่งเกียร์ว่าง ใช้ในการตัดกำลังของเครื่องยนต์ที่ส่งลงมาสู่เกียร์ และใช้เป็นตำแหน่งสตารท์เครื่องยนต์
D) DRIVE-เป็นตำแหน่งเกียร์เดินหน้าและใช้ในการขับขี่ตามปกติ
โดยตำแหน่งเกียร์จะปรับเปลี่ยนเองตามคำสั่งของสมองกลที่ควบคุม
ยกเว้นรถยนต์บางรุ่นที่มีสวิทช์ปรับเปลี่ยนระบบเกียร์และผู้ใช้เปิดสวิทช์ เพื่อใช้งานในการปรับตำแหน่งเกียร์ด้วยตัวเอง
2) เป็นตำแหน่งเกียร์เดินหน้า แต่จะมีอยู่แค่ 1 และเกียร์ 2 อยู่ในตำแหน่งนี้
ใช้เพื่อขับขึ้นลงทางที่มีเนินสูงชัน ทางที่คดเคี้ยวไปมา ที่ไม่สามารถใช้ความเร็วสูงได้
1) LOW-เกียร์ในตำแหน่งนี้ มีเพียงเกียร์ 1 เท่านั้น ใช้สำหรับงานหนักที่ต้องการกำลัง หรือรถติดหล่ม หรือทางขึ้น ลงเขาที่ชันมาก

รัน-อิน...รถป้ายแดงไม่ควรละเลย
คุณ ใช้รถยนต์แบบใด และสำหรับรถป้ายแดงก็มีวิธีที่ถูกต้องในการใช้รถยนต์มาแนะนำ การใช้รถของคุณให้มีการใช้งานได้ยาวนาน
หลาย คนอาจคิดว่ารถยนต์ที่เพิ่งถอยมาใหม่จะสามารถตะบึงตะบันในทุกย่านความ เร็วได้ตามอำเภอใจของผู้ขับขี่ แต่อย่าลืมว่ารถที่เพิ่มคลอดจากโรงงานนั้น เครื่องยนต์และชิ้นส่วนต่างๆ ของรถยังไม่เข้าที่เข้าทางดีนัก ซึ่งการใช้งานรถใหม่แบบเต็มกำลังตั้งแต่แรกจะเป็นการฉุดอายุขัยของรถยนต์คุณ ให้สั้นลงกว่าที่ควรจะเป็น คนรักรถ จึงอยากแนะนำให้คุณผู้อ่านทำการ “รัน-อิน” รถยนต์คันใหม่ในช่วงแรกของการขับขี่เสียก่อน
สัจธรรมของหนึ่งสำหรับรถยนต์ใหม่ทุกคันคือ ต้องมีระยะ “รัน-อิน” ซึ่งเป็นศัพท์ทางเทคนิคช่างยนต์ หมายถึงการเดินเครื่องในช่วง 1,000 กิโลเมตรแรกก่อนใช้งานปกติ เพื่อให้ทุกชิ้นส่วนของรถยนต์ปรับสภาพได้เหมาะสม ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และป้องกันการสึกหรอของเครื่องยนต์ก่อนกำหนด
การเติมน้ำมันกับรถยนต์
รถรุ่นใหม่ที่ใช้เบนซิน 91 และรองรับแก๊สโซฮอล์ E20 สามารถเติมสลับกันได้โดยไม่ต้องรอให้น้ำมันเต็มถัง และไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ในกรณีรถระบุใช้เบนซิน 95 แนะนำให้เติมแก๊สโซฮอล์ E20 เบนซินและแก๊สโซฮอล์ที่มีค่าออกเสน 95 เพื่อกำลังการขับเคลื่อนและอัตราการเร่มที่เต็มประสิทธิภาพ
ข้อควรปฏิบัติในการรัน-อิน
- พยายามสตาร์ตเครื่องครั้งเดียวให้ติดโดยเฉพาะในขณะที่เครื่องเย็น และเมื่อเครื่องยนต์ติดแล้วไม่ควรเหยีบคันเร่งทันทีทันใด หรือทำการเบิ้ลเครื่องอย่างเด้ดขาด
- หลีกเลี่ยงการใช้รอบเครื่องยนต์เกิน 2,500-3,000 รอบ/นาที หรือเปลี่ยนรอบขึ้น-ลงแบบกะทันหันโดยไม่จำเป็น
- รถเกีธรรมดา ควรเปลี่ยนเกียร์ให้เหมาะสมกับความเร็วของรอบเครื่องนยต์ โดยมีช่วงประหยัดน้ำมันอยู่ที่ประมาณ 2,000-3,000 รอบ/นาที
- รถเกียร์อัตโนมัติ หลีกเลี่ยงการลดเกียร์ต่ำหรือเปลี่ยนเกียร์เพื่อลดความเร็ว
- ไม่ขับรถแช่ในความเร็วเดียวกันต่อเนื่องนานๆ ควรเปลี่ยนความเร็วบาง โดยอาจสลับด้วยการผ่อนหรือเร่งความเร็วลงเล็กน้อย
- ไม่ขับรถเกิน 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยงการเบรกอย่างกะทันหันในช่วง 300 กิโลเมตรแรก
- ละเว้นกิจกรรมที่ทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนัก เช่น บรรทุกของหนัก วิ่งลากเกียร์ หรือลากจูงรถคันอื่น
- เมื่อ ขับถึงระยะ 1,000 กิโลเมตร ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ไส้กรอง น้ำมันเกียร์ และน้ำมันเฟืองท้าย เพราะในช่วงรัน-อินจะมีเศษโลหะต่างไ ที่หลุดจากชิ้นส่วนที่เสียดสีในเครื่องยนต์ปะปนมากับน้ำมันหล่อลื่นมากกว่า ปกติ
เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็อย่าลืมรัน-อินเพื่อรักษาสมรรถภาพรถคันใหม่ของคุณน
ขอขอบคุณบทความจากที่มา วารสารพลังไทย และ วิชาการ.คอม และ

เบรก !! เรื่องสำคัญที่ทุก ๆ คนมองข้าม
“เบรก” ถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญที่สุดในการขับขี่ ส่วนใหญ่การเข้าศูนย์ หรือตรวจเช็ครถตามระยะ มักจะตรวจสอบเครื่องยนต์ เกียร์ และล้อ แต่จะมองข้ามระบบเบรกไป ทั้ง ๆ ที่เบรกก็เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้น เรามาทำความรู้จักกับ “เบรก” กันให้มากขึ้นกันดีกว่าครับ
วิวัฒนาการของเบรกในรถยนต์ เริ่มมาจากระบบดรัมเบรก ต่อมาพัฒนาเป็นระบบดิสก์เบรก ซึ่งช่วยให้การเปลี่ยนผ้าเบรกง่ายขึ้น ไม่ต้องปรับตั้งเบรก รวมถึงประสิทธิภาพในการเบรกก็ดีขึ้นด้วย เพราะระบายความร้อนได้ดีกว่าระบบดรัมเบรก แต่ในปัจจุบันนี้ ได้มีการพัฒนาระบบเบรกให้ดีขึ้นไปอีกขั้น เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการขับขี่ นั่นก็คือ ระบบเบรกแบบ ABS (Antilock Brake System) เป็นระบบเบรกที่ช่วยแก้ปัญหาล้อล็อกขณะเบรกกะทันหัน โดยการควบคุมแรงดันน้ำมันเบรกให้อยู่ในระดับที่พอดีกับการเบรก จึงทำให้ผู้ขับขี่มีความปลอดภัยสูงสุด
ถึงแม้ว่าระบบเบรกจะพัฒนาไปอย่างไร แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ “น้ำมันเบรก” ซึ่งน้ำมันเบรกทำหน้าที่เป็นตัวกลางส่งแรงดันจากแม่ปั๊มเบรก ไปยังลูกสูบเบรก โดยขณะที่เราเหยียบเบรก ความร้อนที่เกิดจากการเสียดสีระหว่างผ้าเบรกกับจานหรือดุมล้อ จะถ่ายเทผ่านก้านดันผ้าเบรก และส่งต่อไปให้น้ำมันเบรก ทำให้น้ำมันเบรกมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น เมื่อเราต้องเหยียบเบรกอย่างแรงกะทันหัน หรือเหยียบเบรกอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ความเร็วสูง ความร้อนที่ถ่ายเทสู่น้ำมันเบรกจะมีปริมาณมาก และอาจระบายสู่ส่วนอื่นไม่ทัน ทำให้น้ำมันเบรกอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งหากน้ำมันเบรกร้อนจนถึงจุดเดือด น้ำมันเบรกก็จะระเหยกลายเป็นไอ ทำให้เกิดช่องว่างอยู่ภายในระบบเบรก ช่องว่างนี้ทำให้ระบบเบรกไม่สามารถส่งแรงดันไปกระทำต่อลูกสูบเบรกให้ไปดันผ้าเบรกได้ ทำให้เกิดอาการเบรกจม หรือเบรกไม่อยู่เวลาเหยียบเบรก หรือเราเรียกว่า VAPOR LOCK และเมื่อความร้อนในระบบเบรกลดลง ไอน้ำมันเบรกก็เปลี่ยนสภาพเป็นของเหลว และประสิทธิภาพในการเบรกก็จะกลับมาอีกครั้ง ดังนั้น จุดเดือดของน้ำมันเบรกจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพการเบรก
โดยปกติน้ำมันเบรกเป็นสารที่ดูดซับความชื้นจากอากาศได้ง่าย เมื่อมีความชื้น หรือน้ำปะปนอยู่ในน้ำมันเบรก จะทำให้จุดเดือดของน้ำมันเบรกลดต่ำลง เพราะในการใช้งาน โอกาสที่ความชื้นจะเล็ดลอดสู่น้ำมันเบรกมีได้มากมายหลายทาง เช่น ความชื้นเข้าโดยการหายใจเข้า-ออกของระบบน้ำมันเบรก หรือน้ำจากการอัดฉีดล้างเครื่องรถเล็ดลอดเข้าตรงฝากระปุกเบรก หรืออาจเกิดจากการขับรถลุยน้ำ โดยที่ยางกันฝุ่นสึก หรือมีรอยรั่วซึม น้ำก็สามารถเข้าสู่ระบบเบรกได้ตรง ดังนั้น เมื่อใช้งานไปเรื่อย ๆ น้ำมันเบรกก็จะมีความชื้นสะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น น้ำมันเบรกใดที่มีคุณสมบัติดูดซับความชื้นได้น้อย และเมื่อดูดซับความชื้นแล้วจุดเดือดลดต่ำลงไม่มาก จะเป็นน้ำมันเบรกที่มีคุณภาพสูง
นอกจากนี้ ผลต่อยางและส่วนโลหะอื่นในระบบเบรกก็เป็นสิ่งที่สำคัญ ที่จะบ่งถึงคุณภาพของน้ำมันเบรก เพราะจะมีผลโดยตรงต่ออายุการใช้งานของลูกยางแม่ปั๊ม และลูกปั๊มเบรก ซึ่งก็จะมีผลถึงประสิทธิภาพในการเบรกเช่นกัน น้ำมันเบรกที่มีคุณภาพสูง ต้องไม่ทำให้ลูกยางแม่ปั๊มเบรกคลัตช์เสียเร็ว และต้องไม่กัดกร่อนส่วนโลหะอื่น ๆ ในระบบ ซึ่งหากเกิดการกัดกร่อน จะทำให้มีเศษสนิมโลหะหลุดร่อนออกมาอยู่ในน้ำมันเบรก และจะทำให้ลูกยางปั๊มเบรกเป็นรอยขีดข่วน เกิดการรั่ว และเสียแรงดัน ส่งผลให้เบรกไม่อยู่ หรือที่เราเรียกกัน ว่า เบรกแตกนั่นเอง
การตรวจเช็คระบบเบรก สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยการตรวจสอบระดับของน้ำมันเบรกว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมหรือไม่ ซึ่งหากน้ำมันเบรกมากเกินขีดสูงสุด อาจสันนิษฐานได้ว่ามีน้ำเข้าไปปนเปื้อน แต่หากน้อยเกินขีดต่ำสุด อาจสันนิษฐานได้ว่ามีการรั่วซึมในระบบเบรก หรืออาจเกิดจากผ้าเบรกสึกมาก ซึ่งทั้ง 2 กรณี จะส่งผลให้ประสิทธิภาพในการเบรกลดลง ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการเบรกไม่อยู่ หรือที่เราเรียกกันว่าเบรกแตกได้ นอกจากต้องตรวจระดับน้ำมันเบรกเป็นประจำแล้ว เราควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรกทุก ๆ 1-2 ปี แม้ว่าจะไม่มีการรั่วหรือลดระดับลงอย่างใดก็ตาม เพื่อให้มั่นใจได้ว่า หากเกิดเหตุกะทันหัน เบรกจะยังตอบสนองได้เป็นอย่างดี และข้อควรระวัง คือ ถ้าไม่จำเป็นไม่ควรนำน้ำมันเบรกที่ต่างยี่ห้อ หรือต่างมาตรฐานกัน มาใช้งานผสมกัน เพราะอาจทำให้เกิดปฏิกริยาทางเคมี ซึ่งเป็นสาเหตุให้คุณสมบัติของน้ำมันเบรกเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น หากต้องการเปลี่ยนยี่ห้อ หรือใช้น้ำมันเบรกที่มาตรฐานสูงขึ้น แนะนำให้ทำการล้างระบบเบรกก่อนทำการเปลี่ยนถ่ายครับ

เด็ด!!วิธีประหยัดน้ำมัน ท่องให้ขึ้นใจ
ท่องให้ขึ้นใจรับรองมีเงินเหลือใช้อย่าง แน่นอน
ก......ก่อนออกจาก รถ ไม่ต้องอุ่นเครื่องขับช้าๆ 2 กิโลแรกก็อุ่นแล้ว
ข......ขับ91 เติม91 ขับ95 เติม95 ช่วยเศรษฐกิจชาติ
ฃ......ฃวดน้ำ ฃวดยา สารพัดของหนัก ล้วนฉุดเครื่องรถ สมควรถูกโละ
ค......ความเร็วต่ำ ใช้เกียร์ต่ำ ความเร็วสูงใช้เกียร์สูง
ฅ......ฅนขับรถทางไกล ควรใช้ความเร็วสม่ำเสมอ ประหยัดน้ำมันได้เหมือนกัน
ฆ......ตี ฆ้องร้องถามเพื่อนร่วมทางไปคันเดียวกัน
ง......งดการขับรถกินลม จอดรถกินข้าวอิ่มกว่า
จ......จักรยาน 2 ล้อนี่ซิกินลม ได้เต็มๆแถมไม่กินน้ำมันซักหยด
ฉ......ฉุกคิดซักนิด ยิ่งแต่งเครื่องยิ่งแรง ยิ่งกินน้ำมัน
ช......ใช้รถที่จำเป็น จริงๆ
ซ......ซอกแซกทางลัดถึงเร็วดี
ฌ......เฌอช่วย ให้ร่มเงาขณะจอด แอร์ไม่ต้องทำงานหนัก
ญ......หญิงยุคใหม่ไม่ เลี้ยงคลัตช์
ฎ.....กฎหมายนั่งไม่เกิน 7 คนช่วยเครื่องยนต์ไม่ทำงานหนัก
ฏ......ปฏิบัติตามคู่มือประจำรถ ช่วยลดค่าน้ำมันได้น่ะ
ฐ......ฐานะดีขึ้นได้ ถ้าใช้ออกเทนเท่าที่เครื่องยนต์ต้องการ
ฑ......เกณฑ์ความเร็ว 80 กม./ชม. ประหยัดน้ำมันได้เยอะ
ฒ......ผู้เฒ่าเขาบอก อย่าออกตัวแรงจะได้ไม่เปลืองน้ำมัน
ณ......เกณฑ์เปลี่ยนน้ำมัน หล่อลื่นทุก 5000 กม.
ด......เดินแทนขับรถ ลดน้ำหนักไปในตัว อย่าลืมนะ เดี๋ยวรถกินน้ำมัน
ต......ตรวจเช็คเครื่องยนต์ตาม กำหนด ถ้าไม่อยากเปลืองน้ำมัน
ถ......ถนนลูกรังควรเลี่ยง เพราะเปลืองน้ำมันร้อยละ 35
ท......โทรไปนัดล่วงหน้า จะได้ไม่ขับไปเก้อ
ธ......ยางธรรมดาเท่ห์น้อย แต่กินน้ำมันน้อยกว่ายางขอบใหญ่เยอะ
น.......น้ำมันมีค่า ใช้ทุกหยดให้คุ้มค่า
บ......บรรทุกของน้อยๆรถวิ่งฉิว
ป...... ปรับแต่งเครื่องยนต์ประหยัดน้ำมันได้ร้อยละ 5 - 15
ผ......ผิว ถนนไม่เรียบไม่ควรขับ เพราะเปลืองน้ำมันมากที่สุดร้อยละ 45
ฝ...... ฝึกออกตัวช้าๆให้เครื่องจิบน้ำมันทีละน้อย
พ......เพื่อนบ้าน ใกล้กัน รักกันอาศัยพากลับไปด้วย
ฟ......ฟังวิทยุเส้นไหนติดน้อย ไปเส้นนั้น
ภ......ภาคทฤษฎี 44 ข้อนี้ ควรเร่งปฎิบัติกันเร็ววัน
ม......ไม่ติดเครื่องระหว่างจอดคอย
ย......ยอมเดิน ดีกว่าวนหาที่จอดรถ 3 รอบ
ร......รอบเครื่องยนต์ 1100 - 1250 รอบ/นาที ไม่กินน้ำมัน
ล......ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวทุกทีที่ทำ ได้
ว......เวลาเร่งด่วนไม่ควรออกไปร่วมชะตากรรมบนท้องถนน
ศ...... ศึกษาเส้นทางล่วงหน้า หลงทางเสียเวลา แต่เสียน้ำมันก็เจ็บใจนะ
ษ...... เศรษฐกิจชาติจะดี ถ้าประชาชีใช้น้ำมันถูกชนิด
ส......สอบถาม ข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องประหยัดน้ำมันได้ที่ " สายด่วนออกเทน " โทร 02 - 612-1040 และ 1900 - 1901 - 99
ห......หลีกเลี่บงถนนสายหลักช่วง เร่งด่วน ช่วงฝนตก และช่วงห้างสรรพสินค้าลดราคา
ฬ......ร.พ. จุฬาฯ - หมอชิต ไปรถไฟฟ้าประหยัดกว่า
อ......แอร์....เปิดไม่ฉ่ำ เกิน ประหยัดได้อีกทาง
ฮ......ฮึดปฎิบัติให้มากข้อเข้าไว้ ช่วยตัว ช่วยชาติประหยัดได้เยอะ

ครบเครื่องเรื่อง...สีรถ
โดยธรรมชาติของสารเคมีที่นำมาประกอบเป็นสีนั้นจะสามารถต้านทาน และคงทนต่อสภาพแวดล้อมหรือความผันแปรของภูมิอากาศได้ดีในระดับหนึ่งเท่านั้น หากการบำรุงไม่ดีพอหรือไม่ถูกวิธีแต่จะทำให้รถเสียเร็วยิ่งขี้น
ข้อควรระวังเพื่อการรักษาสีรถ มีดังนี้
1. ไม่ควรจอดรถไว้ใกล้ๆ กับโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยสารเคมีบางอย่างออกมา เช่น โรงงานผลิต อาหารสัตว์ โรงงานผลิตสารเคมีเพราะฝุ่นละอองจากอาหารสัตว์ หรือสารเคมีที่ปลิวมาติดผิวสีของ รถอาจจะเป็นกรดหรือด่างเข้มข้นสามารถกัดสีให้เป็น จุดเป็นดวงได้หรือทำให้สีอ่อนตัวลงได้
2. ควรพยายามจอดรถในที่ร่มหรือที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก พื้นไม่อับชื้น หากจำเป็นต้องจอดกลางแดด ควรใช้ผ้าคลุมกันแดดไว้
3. เมื่อขับรถผ่านบริเวณที่มีฝุ่น โคลนหรือชายทะเลเป็นเวลานานๆ ควรล้างฝุ่น โคลนหรือ คราบต่างๆ ออกให้หมดเพราะคราบเหล่านี้ สามารถดูดความชื้นได้ดี จึงทำให้ฝิวสีเสื่อม คุณภาพได้ง่ายและบางครั้งสิ่งสกปรกที่เกาะติดผิวสีรถก็เป็นสารเคมีที่ทำ อันตรายต่อสีรถด้วย
4. อย่าทำให้รถเกิดรอยขีดข่วนหรือหลุดร่อนเพราะจะทำให้ตัวรถผุและจะลามออก เป็นบริเวณกว้าง ทั้งนี้ เพราะรอยขีดข่วนจะไม่สามารถป้องกันความชื้นให้กับผิวโลหะได้
5. หากมีคราบน้ำมันหรือสารเคมีต่างๆ เปื้อนผิวสี ต้องรีบล้างออกทันทีโดยใช้ผ้าชุบน้ำสะอาดหรือผสมสบู่อ่อนๆ หรือ แชมพูสำหรับล้างรถก็ได้ ห้ามใช้ทินเนอร์ น้ำมันหรือสารเคมีใดๆ ทำความสะอาดสีรถโดยเด็ดขาดสารเคมีที่มีโอกาสจะถูกสีรถได้ง่ายก็คือ น้ำมันเบรกซึ่งจะกัดสีในทันทีที่สัมผัสกับสีรถ การใช้จึงต้องระวังเป็นพิเศษนอกจากนี้น้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันหล่อลื่น และน้ำหอมประจำรถก็ฒีผลต่อสีรถเช่นกัน หากหกเลอะรถควรรีบใช้ผ้านุ่มที่สะอาดเช็ดออกโดยเร็วและล้างด้วยน้ำ
ลบคราบสติ๊กเกอร์บนสีรถ
รอยคราบที่เกิดจากการแกะสติ๊กเกอร์ที่อยู่บนผิวสีรถออกนั้น สามารถแก้ไขได้ โดยใช้ยาขัด Extra100 แล้ว ลงแว๊กซ์อ่อนอีกครั้ง ถ้าสีบริเวณที่ลอกสติ๊กเกอร์ออกนั้นแตกต่างกับผิวสีเดิมมาก ให้ใช้กระดาษทรายเบอร์ 1200 ขัดบนพื้นผิวบริเวณนั้นก่อนแล้วลงแว๊กซ์อีกครั้ง แต่หากไม่แน่ใจที่จะลงมือแก้ไขเอง ควรนำรถเข้า ศูนย์บริการ ให้ช่างผู้ชำนาญทำ
แก้ปัญหารถสีด้าน
รถสีด้านเกิดจากการนำรถตากแดดไว้บ่อยๆ หรือใช้งานรถมาเป็นเวลานานโดยขาดการดูแลรักษา วิธีดีที่สุดสำหรับการแก้ไขสีรถด้านคือ เจ้าของควรจะนำรถเข้าทำสีใหม่ เพื่อให้สีมีความ คงทน แต่ถ้าไม่ต้องการทำสีใหม่ให้ใช้แว๊กซ์ ขัดพื้นผิวบริเวณนั้น โดยต้องเลือกใช้แว๊กซ์ให้ถูกกับประเภทงาน การใช้แว๊กซ์ขัดจะช่วยได้เพียงแค่การชลอการเสื่อมสภาพของสีเท่านั้น ไม่สามารถทำให้ผิวสีกลับสู่สภาพเดิมได้ นอกจากนี้การล้างรถก็มีส่วนทำให้รถด้านด้วยเช่นกันจึงไม่ควรล้างรถ ในช่วงที่เพิ่งใช้งานเสร็จหรือขณะที่พื้นผิวของรถยังร้อนอยู่ เด็ดขาด
สีที่ซ่อมใหม่กับสีเดิมไม่เหมือนกัน
โดยทั่วไปแล้วงานซ่อมสีโดยเฉพาะสีเมทัลลิก (สีที่มีสีบรอนช์ผสม)การซ่อมสีใหม่ให้เหมือนเดิม 100% เป็นไปได้ยาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น
ความซีดของสีเดิม แรงดันลมขณะพ่นสี อุณหภูมิของอากาศ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการแห้งตัวของสีและขนาดของหัวปืนพ่นสี เป็นต้น ฉะนั้นหากซ่อมสีใหม่แล้ว สีที่ได้กลมเกลือนหรือใกล้เคียงกับสีเดิมถึง 95% โดยที่มีเวลาผ่านไปสีที่พ่นใหม่ไม่ต่างจากสีเดิมมากนัก ก็นับว่าเป็นงานซ่อมสีที่ดีเยี่ยมแล้ว แต่ถ้าสีที่ซ่อมใหม่ แตกต่างจากสีเดิมมากจนเห็นได้ชัดก็แสดงว่าการผสมสีและการพ่นของช่างซ่อมสี ยังไม่ประณีตเท่าที่ควร ซึ่งควรจะนำเข้าแก้ไขสีใหม่อีกครั้ง
ข้อสำคัญรถต้องสะอาดอยู่เสมอ
การทำความสะอาดรถเป็นเรื่องที่เจ้าของรถควรให้ความเอาใจใส่เป็นประจำเพราะจะเป็นผลดีต่อสีรถด้วยวิธีทำความสะอาดความเริ่มจากการใช้ไม้ขนไก่หรือถ้าผ้าแห้งนุ่มๆ ปัดหรือเช็ดฝุ่นออกเบาๆ และผ้าที่ใช้จะต้องไม่มีความหยาบหรือมีของแข็งใดๆติดอยู่ หากปัดหรือเช็ดแล้วยังไม่สะอาดพอให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดออก ไม่ควรใช้ผ้าแห้งเช็ดอย่างรุนแรง เพราะอาจเกิดรอยขีดข่วนบนรถ การล้างต้องใช้น้ำสะอาดและจะต้องล้างให้สะอาดด้วย หากสามารถทำได้ควรฉีดน้ำล้างดินโคลน หรือสิ่งสกปรกต่างๆ ใต้ท้องรถให้สะอาดทุกส่วนด้วย โดยปฏิบัติดังนี้
• ควรล้างบริเวณใต้ท้องรถและล้อก่อนโดยใช้แปรงอ่อนๆ ขัดขณะฉีดน้ำล้าง
หรือจะใช้น้ำผสม สบู่ล้างครั้งหนึ่งก่อนแล้วล้างซ้ำด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง
• ล้างจากส่วนบนสุดของรถลงมา ไม่ควรใช้แปรงขัดเป็นอันขาด
ให้ใช้ผ้านุ่มๆ ฟองน้ำหรือ หนังชามัวส์เท่านั้น เพราะอาจทำให้สีถลอกได้
• คราบสกปรกที่น้ำธรรมดาล้างไม่ออก ให้ใช้น้ำสบู่ล้างไม่ควรใช้ผงซักฟอกล้างรถ
เมื่อคราบสกปรก ออกหมดแล้ว ให้ใช้น้ำสะอาดล้างซ้ำอีกครั้ง
• หลังจากล้างน้ำแล้ว ต้องเช็ดให้แห้งทันที
การปล่อยให้น้ำแห้งเองจะเกิดเป็นคราบน้ำเป็นดวงๆ ติดอยู่บนรถตลอดทั้งคัน
• เมื่อล้างรถจนสะอาดดีแล้วอาจจะใช้สารเคมีเคลือบสีพวกครีมขี้ผึ้งขัดให้แล ด้วยเงางาม
ขอบคุณบทความจาก บางกอกฮอนด้า

รู้ทันพนักงานเคลม
ปัจจุบันเพื่อนๆ ผู้ใช้รถยนต์โดยทั่วๆไป ที่ทำประกันภัยรถยนต์ แล้วคงไม่อยากจะเจอ กับพนักงานเคลมของ บริษัทฯประกันภัย เป็นแน่แท้ เพราะถ้าเจอแล้วบางท่านที่ไม่มีประสบกราณ์ตอนรถชนกัน อาจไม่ทราบเลยว่าจะต้องปฏิบัติตนอย่างไร จึงจะถูกต้องซึ่งผู้เขียนใคร่ ขออธิบายให้ท่านทราบ ถึงลักษณะของอุบัติเหตุ ตามอาชีพที่พวกเราเรียกเขาว่า พนักงานเคลม ก่อนว่าโดยทั่วๆไปแล้วคนในอาชีพเคลม
เขาแบ่งลักษณะการเกิดเหตุ ออกเป็นลักษณะใดบ้าง หลักๆดังนี้ 1.เคลมแห้ง หมายถึง เคลมที่รถเกิดเหตุมานานแล้ว เพิ่งมาแจ้งเหตุ เช่น แผลขูดขีด เป็นต้น 2.เคลมสด หมายถึง เคลมที่รถชนกันสดๆ และยังมีผู้เสียหายในเหตุกราณ์รออยู่ 3.เคลมเสียหายมาก หมายถึง เคลมที่จะเกิดขึ้นสดๆหรือเกิดขึ้นนานแล้ว แต่เสียหายมากเพิ่งมาแจ้งเหตุ เช่น รถเสียหายจนขับไม่ได้ นานมาแล้วเป็นอาทิตย์เพิ่งมาแจ้งเหตุ เป็นต้น
ซึ่งในภาคธุรกิจประกันวินาศภัย ปัจจุบันมีทั้งบริษัทฯต่างชาติและบริษัทฯ ที่มีธุรกิจที่เอื้อประโยชน์กันเข้าแข่งขันในการครองตลาดรถอยู่มาก ผู้บริโภคจึงไม่อาจจะเลือก โดยเสรีทางความคิดได้หมด เพราะส่วนมากไฟแนซ์ก็เป็นผู้เกือบจะบังคับให้ตามโปรแกรมการขาย ซะเป็นส่วนมาก (ไม่รวมรถที่ซื้อเงินสด) จึงไม่รู้เลยว่า บริษัทประกันภัย ที่เขาเลือกให้เรานั้น ได้มาตราฐานหรือจัดให้ตามประโยชน์ที่ เซลขายรถหรือมารเก็ตติ้งของไฟแนนซ์ จะได้รับพนักงานเคลมมีหน้าที่ออก ตรวจสอบอุบัติเหตุ โดยเร็วที่สุดและบันทึก รายงาน ถ่ายภาพ ที่เกิดเหตุ รวบรวมพยานหลักฐานให้ครบถ้วนสมบรูณ์ที่สุด เพื่อเข้าเป็นรายงานแฟ้มอุบัติเหตุต่างๆ นี่ก็คือ หน้าที่หลักโดยทั่วไป ซึ่งจากสถิติการเกิดเหตุ โดยทั่วๆไปแล้ว เรื่องที่จะมีปัญหากับท่านผู้อ่านก็คือ แจ้งเคลมแห้ง เพราะในสัญญาประกันภัย ได้ระบุไว้ว่าหากเกิดเหตุไม่ทราบคู่กรณี ท่านก็จะต้องถูกเก็บค่าเงื่อนไขไม่ทราบคู่กรณี ยกเว้น เสียแต่ว่าท่านจะพิสูจน์ให้บริษัทฯประกันทราบว่า ท่านไม่ได้เป็นฝ่ายถูกละเมิด(ฝ่ายถูก)จากผู้อื่นแล้วไปเรียกเก็บ ค่าเสียหายเข้ากระเป๋าของตนซะเองไปแล้ว
ฉะนั้นเวลารถฯของท่านเสียหายไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตามท่านจะต้องโทรศัพท์ แจ้งเหตุไปที่บริษัทฯประกันในทันทีและต้อง ขอหมายเลขรับแจ้งและชื่อสกุลของพนักงานรับแจ้ง ไว้เป็นหลักฐานด้วยทุกครั้งเพราะพนักงานรับแจ้งเหตุ นั้นจะช่วยแนะนำท่าน ในสิ่งที่ท่านจะต้องทำต่อไปเช่น ถูกชนแล้วหลบหนีไปต่อหน้าต่อตาจะทำอย่างไรทะเบียนรถที่ชนก็จำไม่ได้อีกซะเลย เป็นต้นพนักงานเคลม บางท่านจะนำประโยชน์ในสัญญาประกันภัย มาเก็บค่าเงื่อนไขท่านซึ่งหากท่านคิดว่าจ่ายไปด้วยความถูกต้องแล้วก็ควร ขอใบเสร็จรับเงิน จากบริษัทฯที่ท่านทำประกันไว้เป็นหลักฐานด้วยทุกครั้ง
สิ่งสำคัญหากท่านขับรถชนกับรถคู่กรณีที่ไม่มีประกันภัยและรถของท่านเป็นฝ่ายถูกแล้ว ท่านควรตรวจสอบกลับไปที่บริษัทฯประกันภัย ที่ท่านทำประกันทุกครั้งว่าตามรายงานอุบัติเหตุรถของท่าน เป็นฝ่ายถูกจริงหรือ ไม่ควรคุยกับระดับหัวหน้างานของบริษัทฯ นั้นๆเพราะถ้าเป็นฝ่ายถูก ท่านจะได้รับส่วนลดประวัติดีในปีต่อไปครับ ธุรกิจประกันวินาศภัยในบ้านเรา(เมืองไทย) ยังคงต้องพัฒนายกระดับมาตราฐานขึ้นอีกมาก พนักงานเคลมบางบริษัทฯมีจริงๆไม่กี่คน นอกนั้นจะต้องจ้างบริษัทเซอร์เวย์เยอร์ แปลเป็นไทยว่า บริษัท รับสำรวจภัย ซึ่งมีหน้าที่รับจ้างทำเคลมให้กับ บริษัทประกันภัยต่างๆ ที่ แจ้งเหตุเข้ามา ซึ่งบางบริษัท เซอร์เวย์เยอร์ ก็ไม่มีสาขา เรียกกันว่าเกิดเหตุ ที่จังหวัดนี้ก็ใช้บริการที่นี่ เป็นต้น ซึ่งเป็นอาจจะทำให้บริการไม่ทั่วถึง ในช่วงเวลาเร่งด่วนหรือในช่วงเทศกาล ซึ่งต่างกับ บริษัทประกันภัยที่มีสาขาหรือศูนย์บริการคลอบคลุม อยู่ทุกพื้นที่การให้บริการ จะทำให้ไปถึงที่เกิดเหตุึุได้รวดเร็วขึ้น
อีกเรื่องที่ถือว่าสำคัญก็คือ จรรยาบรรณ ในการประกอบวิชาชีพซึ่งรวมถึง เรื่องของความรู้ใน ข้อกฎหมายในคดีรถชนกัน และมารยาทความเอาใจใส่ในการบริการลูกค้าของพนักงาน เป็นต้น เรื่องพวกนี้ถือว่าเป็นสาระสำคัญในการประกอบธุรกิจของ บริษัทประกันภัยให้มีเชื่อเสียงได้ยาวนาน บริษัท เซอร์เวยเยอร์ ต่างๆ บางบริษัทฯ มีมาตราฐานราคา ค่าสำรวจ ก็จะมาตราฐานไปด้วย แต่ปัจจุบันบริษัทประกันภัย บางบริษัทฯก็ต้องการลดต้นทุน หันไปใช้บริษัท เซอร์เวยเยอร์ ที่ไม่มีมาตราฐานมาใช้งาน เพราะค่าบริการถูกแต่ลืมคิดถึงภาพลักษณ์ของบริษัทประกันภัยเอง เพราะเวลาที่ลูกค้าซื้อประกันส่วนมาก ก็จะเจอแต่เซลหรือตัวแทนขายประกัน ไม่เคยเจอพนักงานเคลมเลย จะมาเจออีกทีก็ตอนมีอุบัติเหตุหรือตอนแจ้งเคลมนี่หละ ซึ่งถ้าบริษัทฯประกันภัย ไหนมีมาตราฐานในการบริการที่ดี มาถึงที่เกิดเหตุเร็ว ก็คงจะเป็นเรื่องที่ดีกับพวกเราคนใช้รถ เคลมฉ้อฉลปัจจุบัน พวกเราคนใช้รถไม่เคยรู้เลย ว่าอุบัติเหตุจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว (เบาๆ) ก็คงไม่ใช่เรื่องยากแต่ถ้าเกิดขึ้นหนักๆแล้ว ผู้ที่จะช่วยท่านได้มากที่สุด ก็คือพนักงานเคลมนั่นเอง เพราะอุบัติเหตุที่เสียหายมาก มีผู้คนบาดเจ็บ ล้มตาย มีคดีอาญาเกิดขึ้นความเสี่ยงจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ขับขี่รถโดยประมาท ตามกฎหมายซึ่งบางบริษัทประกันฯ ก็ทำตรงไปตรงมาบางบริษัทประกันฯ ก็(อาจมี) วิ่งคดีหรือบางบริษัทประกันฯเชี่ยวชาญ มองเกมขาด ก็จะแนะนำให้ลูกค้า มีการบรรเทาผลคดี หรือช่วยเหลือคู่กรณีของตน ทางด้านมนุษย์ธรรมเป็นต้น
เคลม ฉ้อฉล เกิดขึ้นได้กับพนักงานเคลม ที่เรียกหรือถูกฝ่ายตรงข้าม ท่านเสนอให้สินบน เพื่อเขาจะได้เป็นฝ่ายถูกหรือไม่ก็บวกเพิ่ม ค่ารักษาพยาบาล ค่าปลงศพ ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งก่อนนัดจ่ายค่าสินไหมทดแทนต่างๆท่านควร ตรวจสอบกับผู้บริหารของ บริษัทประกันภัยให้ชัดเจนก่อนทุกครั้ง อย่าลืมโทรศัพท์เข้าไปสอบถามด้วยตนเองกับ ฝ่ายตรวจสอบของบริษัทประกันภัยหรือผู้จัดการสินไหมฯก็ได้ครับ ท่านจะได้รู้ว่าถูกใครเป็นผู้เอาเปรียบท่านกันแน่ บางครั้งบริษัทประกันฯ อาจเอาเปรียบท่าน ก็ควรเจรากันใหม่ ให้ยุติถ้าไม่ยุติหรือเห็นว่า ไม่ยุติธรรมก็ให้ติดต่อสายด่วน กรมการประกันภัยได้ ที่เบอร์ 1186 ครับ สุดท้ายนี้ ขออวยพรให้ท่านผู้อ่าน ขับขี่ ยวดยานพาหนะของท่าน ด้วยความระมัดระวัง เดินทางโดยปลอดภัย แล้วจะมาเขียนบทความ ให้ท่านอ่านใหม่ครับ

กฎเหล็กประหยัดน้ำมัน
สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน เสนอแนวทางการปฏิบัติ 3 ขั้น มาแนะนำเพื่อช่วยให้ผู้ใช้รถประหยัดน้ำมันได้ ดังนี้
การปฏิบัติขั้นที่ 1 สำหรับผู้ที่จำเป็นต้องใช้รถทุกวัน มีข้อควรปฏิบัติ ดังนี้
- วางแผนก่อนเดินทาง โดยหลีกเลี่ยงการเดินทางในวันและช่วงเวลาที่มีผู้ใช้รถเป็นจำนวนมาก ๆ เพราะหากรถติดอยู่กับที่นาน 30 นาที จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมัน 750ซี ซี.คิดเป็นเงิน 13.50บาท (18บาท/ลิตร)นอกจากนี้ยังทำให้เสียเวลาด้วย
- ตรวจเช็คลมยาง สิ่งสำคัญสำหรับรถ คือ ยาง ก่อนใช้รถควรตรวจเช็คว่ายางสึกหรอถึงระดับต้องเปลี่ยนหรือยัง และควรเติมลมยางให้เหมาะสมตามที่กำหนด เนื่องจากยางสึกหรอหรือลมอ่อนจะทำให้การทรงตัวของรถไม่ดี และสิ้นเปลืองน้ำมัน และหากความดันลมยางต่ำกว่ามาตรฐานทุก 1 ปอนด์ต่อตารางนิ้วจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้น 2 % เช่น ยางขนาด 195มิลลิเมตร (มม.) ควรเติมลมยางขณะไม่บรรทุก 26 ปอนด์ และยางขนาด 205-235 มม. ควรเติมลมยางขณะไม่บรรทุก 26-29 ปอนด์ เป็นต้น
- เป่าไส้กรองอากาศ การทำความสะอาดไส้กรองอากาศทุกๆ 2,500 กม./ชม.หรือทุก ๆ 2-4 สัปดาห์ เพราะถ้าไส้กรองอากาศไม่สะอาดแล้ว จะทำสิ้นเปลืองน้ำมัน วันละ 65 ซีซี.
- ขับรถด้วยความเร็วที่เหมาะสม การไม่ขับรถเร็วจนเกินไป ไม่แซงโดยไม่จำเป็น จะประหยัดได้ประมาณ 20% สำหรับอัตราความเร็วที่เหมาะสมในการประหยัดน้ำมันได้มากที่สุดคือ 60-80 กม./ชม.และความเร็วสูงสุดที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับทางธรรมดา คือ 90 กม./ชม.บนทางด่วน 110 กม./ชม.และบนทางมอเตอร์เวย์ 120 กม./ชม.
- บรรทุกของเท่าที่จำเป็น จะช่วยประหยัดได้ประมาณ 15% หากขับรถโดยบรรทุกของที่ไม่จำเป็นประมาณ 10 กิโลกรัม เป็นระยะทาง 25 กิโลเมตร จะสิ้นเปลืองน้ำมัน 40 ซีซี .
การปฏิบัติการขั้นที่ 2 สำหรับบ้านที่มีรถหลาย ๆ คัน หรือ เพื่อนบ้านที่เดินทางไปทำงานเส้นทางเดียวกัน หรือที่หมายใกล้กันมีข้อควรปฏิบัติ ดังนี้
- ทางเดียวกัน...ไปด้วยกัน (Car Pool) เวลาไปไหนมาไหนที่หมายเดียวกัน ทางผ่าน หรือใกล้เคียงกัน ควรไปรถคันเดียวกัน ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยแก้ปัญหารถติดได้ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้เราเพลิดเพลิน ช่วยให้ครอบครัวอบอุ่น และมีเพื่อนคุยตลอดการเดินทางด้วย
- ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว ในบางวันที่ไม่อยากขับรถ หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้รถส่วนตัวมาทำงาน ก็เปลี่ยนมาใช้รถบริการรถสาธารณะบ้าง... ในบางวัน เช่น รถโดยสารประจำทาง หรือรถเมล์ ซึ่งเป็น รถสาธารณะที่ประหยัดที่สุด เรือโดยสาร รถไฟ รถไฟฟ้า และรถไฟฟ้าใต้ดินซึ่งประโยชน์ที่ได้ ก็คือ ช่วยประหยัดค่าน้ำมัน ประหยัดค่าบำรุงรักษารถยนต์ ลดมลพิษทางอากาศ และที่สำคัญช่วยทำให้การจรติดขัดน้อยลง
ปฏิบัติการขั้นที่ 3 ใช้การสื่อสารแทนการเดินทางไปติดต่องานด้วยตนเอง มีข้อควรปฏิบัติดังนี้
- ใช้อุปกรณ์สื่อสารแทนการเดินทาง เพราะโลกการสื่อสารในปัจจุบันนับว่ารวดเร็วและสะดวกมาก ดังนั้นการติดต่อกันทางโทรศัพท์ โทรสาร ไปรษณีย์ อินเตอร์เน็ต จดหมายอิเลกโทรนิกส์ (E-mail) หรือการใช้บริการส่งเอกสารแทนการเดินทางจะช่วยให้ประหยัดน้ำมัน และประหยัดเวลาไปได้มากทีเดียว
แนวทางการปฏิบัติทั้ง 3 ขั้น หากผู้ใช้รถนำไปปฏิบัติได้อย่างน้อย 1 ขั้น ก็จะช่วยลดภาระการจ่ายค่าน้ำมันลงได้ นอกจากนี้ยังช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าตัวเอง และประหยัดเงินให้ประเทศชาติอีกด้วย

โชคดี หรือโชคร้าย
เรื่องการเชื่อถือ โชคลางนั้นไม่ได้มีเฉพาะคนไทย หรือคนที่มีการศึกษาน้อยเท่านั้น ฝรั่งจำนวนมากที่เชื่อถือเรื่องของโชคลางไม่แพ้คนไทย
เพียงแต่กรรมวิธีหรือ พิธีกรรมและสิ่งยึดเหนี่ยวอาจจะต่างกันออกไปเท่านั้น ผมเคยเห็นฝรั่งอเมริกันที่ทำหน้าที่ขับเครื่องบินรบ พกพวงกุญแจขากระต่ายติดตัวเพราะเชื่อว่าจะคุ้มครองชีวิตของเขาให้รอดใน สงครามเวียดนามได้
ตัวผมเองหากเชื่อถือตามโชคลางเช่นคนสมัยก่อน ปี พ.ศ. 2553 นี้ ดูทีจะเป็นปีที่โชคชะตาชีวิตของผมคงจะไม่ดีเท่ากับปีอื่นๆ เพราะโดยปรกติในวันที่ 1 ม.ค.ของทุกปี ผมจะสวมใส่เสื้อสีสดๆ เช่นสีเหลืองและสีแดงมาตลอดตั้งแต่อายุได้สักสิบขวบ และต้องเป็นเสื้อใหม่เอี่ยมเท่านั้น
แต่วันที่ 1 ม.ค. 2553 ที่ผ่านมา ผมกลับใส่เสื้อสีขาวใหม่เอี่ยมจนญาติพี่น้องแปลกใจ เหตุผลที่ผมหันมาใส่เสื้อสีขาวเพราะขี้เกียจให้ใครมาคิดว่า ผมฝักใฝ่การเมืองด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้นเอง ถัดมาถึงวันที่ตรงกับวันเกิดของผม ซึ่งผมจะหาเวลาไปทำบุญใส่บาตร และใส่เสื้อผ้าสีแดงหรือสีเหลืองสดๆ ตัวใหม่ทุกปีเช่นกัน
ปีนี้ผมกลับสวมเสื้อสีส้มสดๆ แทน และใช้เวลาตั้งแต่หกโมงเช้าไปโรงพยาบาลเพื่อรอพบหมอ ก่อนที่จะเดินทางไปต่างประเทศในช่วงสาย เช่นเดียวกันกับในวันที่ 13 ก.พ. ซึ่งตรงกับวันไหว้ในเทศกาลตรุษจีน ผมก็ต้องเปลี่ยนอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าถึงสองครั้งในช่วงเช้า
ส่วนวันถัดมาซึ่งตรงกับวันปีใหม่และวันวาเลนไทน์ คนจีนทั่วไปจะพยายามหลีกเลี่ยงการอาบน้ำสระผม และงดกระทำสิ่งที่คิดว่าไม่เป็นมงคล ขนาดเอาไม้กวาดไปซ่อนไว้ในที่ลับตาไม่สามารถมองเห็นได้ วันนั้นผมกลับเดินหน้าเข้าโรงพยาบาลเสียแต่เช้ามืด เจาะเลือดฉีดยาหาหมอกินยา จนครบถ้วน
แต่สิ่งที่บางคนอาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องไม่เป็นมงคล ผมก็พยายามหาเหตุผลในมุมที่เป็นบวกมาบอกกับตัวเองได้ อาทิเช่น การไปหาหมอเจาะเลือดฉีดยาในวันชิวอิ้ดหรือวันปีใหม่ ผมก็เชื่อว่าเป็นสิ่งดีมีมงคลต่อชีวิต เพราะเท่ากับว่าผมไปทำให้ตัวผมเองแข็งแรงตลอดทั้งปี โรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายจะได้ไม่มาเบียดเบียน จนทำให้ป่วยกระเสาะกระแสะอีกต่อไป
เมื่อพูดถึงเรื่องของความเชื่อในโชคลางแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคนใช้รถจำนวนมากที่เชื่อถือโชคลางเช่นกัน มีหลายคนที่ยังเชื่อว่าในรถทุกคันมีแม่ย่านางคอยดูแลปกปักรักษา จึงมีการตั้งเครื่องบวงสรวงเซ่นไหว้ตามเทศกาล หรือเมื่อทำการซื้อรถมาใหม่ๆ ก็จะนำไปให้พระสงฆ์ หรือคนที่ตนเองนับถือทำการเจิมให้
เมื่อครั้งที่ผมยังขับรถบรรทุกสิบล้อวิ่งร่อนทำมาหากินอยู่ ก็พบเห็นตลอดเวลาว่าคนขับรถบรรทุกจำนวนมากมาย ที่ยังเจียดเงินเบี้ยเลี้ยงจำนวนน้อยนิดไปซื้อพวงมาลัย มาแขวนเอาไว้ที่บริเวณกระจกบังลมหน้า เพราะเชื่อว่านั้นคือเครื่องเซ่นไหว้สำหรับแม่ย่านางประจำรถ และหลายคนมากที่มีข้อห้ามไม่ให้ใครผู้ใดผู้หนึ่ง ยกเท้าพาดไปที่แผงคอนโซลด้านหน้า เพราะเชื่อว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำรถ
แม้ในปัจจุบันนี้ เรายังพบเห็นรถยนต์จำนวนมากที่วิ่งไปมาบนท้องถนน โดยมีช่อดอกไม้ผูกติดอยู่กับกระจังหน้ารถ ซึ่งมีทั้งรถยนต์ใหม่ป้ายแดงและรถยนต์ใช้แล้ว ที่อาจจะเพิ่งเปลี่ยนมือเจ้าของผู้ครอบครอง หรือแม้แต่ยังคงอยู่กับเจ้าของเดิม แต่บังเอิญเป็นช่วงเทศกาลสำคัญเช่นตรุษจีน
มีคำไทยๆ ของเรากล่าวเอาไว้ว่า "ไม่เชื่อ ก็จงอย่าลบหลู่" ผมเองแม้จะเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง แต่รับรองได้ว่าไม่เคยลบหลู่อะไรทั้งสิ้น เพียงแต่อยากจะหาทางให้ความเชื่อนั้น ไม่ย้อนกลับมาทำร้ายผู้คนที่เชื่อถือเท่านั้นเอง เพราะผมเชื่อว่าการสักการะเซ่นสรวงที่ดี ย่อมแตกต่างจากการบูชายัญเป็นอย่างยิ่ง
ประการแรก หากท่านยังคงใช้วิธีเอาช่อดอกไม้มาผูกติดกับกระจังหน้ารถ ก็จงเอาช่อดอกไม้ออกจากกระจังหน้ารถ หลังจากผ่านเวลาของการถวายหรือเซ่นสรวงไปแล้วหนึ่งวัน เพราะดอกไม้และใบไม้ที่แห้งอาจจะปลิวเข้าไปติดกับรังผึ้งหม้อน้ำ ทำให้ลมไหลเข้าไปพัดระบายความร้อนในห้องเครื่องได้ยากขึ้น ส่งผลทำให้เครื่องยนต์ร้อนจัดหรือโอเวอร์ฮีทขึ้นมาได้
หรือบางครั้งกลีบของดอกไม้และใบไม้ที่แห้งกรอบ อาจจะถูกพัดปลิวเข้าไปอยู่ในห้องเครื่อง ซึ่งมีชิ้นส่วนที่มีความร้อนสูงอยู่มากมาย อาทิเช่น ที่บริเวณคอท่อไอเสียหรือเฮดเดอร์ บริเวณติดกับเสื้อสูบ หรือบริเวณด้านล่างของเสื้อสูบเช่นที่แคตตาลิติคคอนเวอร์ทเตอร์ เมื่อดอกไม้แห้งหรือใบไม้แห้งปลิวเข้าไปโดนบริเวณเหล่านั้น ความร้อนก็จะทำให้ใบไม้แห้ง และกลีบดอกไม้แห้งลุกไหม้เป็นไฟขึ้นมา
ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงแนะนำให้ท่านเอาช่อดอกไม้ออกไป เมื่อเห็นว่าเริ่มแห้งกรอบแล้ว หรือเมื่อผ่านช่วงเวลาของเทศกาลแห่งการเซ่นไหว้ไปแล้ว เพื่อความปลอดภัยจากอัคคีภัยที่อาจจะเกิดขึ้นมาได้ และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเครื่องยนต์ร้อนจัด ดังที่บอกเอาไว้ในเบื้องต้นครับ

“วอร์มแบต“ ให้อุ่นใจ เครื่องสตาร์ทติดง่าย
ฤดูกาลท่องเที่ยวมา ถึง เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนวางแผนเดินทาง ต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อม โดยเฉพาะถ้าใครที่เดินทางโดยรถยนต์
เพราะบางครั้งเมื่ออากาศ เย็นลง อาจเกิดปัญหาเครื่องยนต์สตาร์ทติดยาก ทำให้การเดินทางหมดสนุกได้
การวอร์มแบตเตอรี่เครื่องยนต์ เป็นการกระตุ้นการทำงานของเครื่องยนต์ และตรวจเช็คสภาพความพร้อมระบบต่างๆ ของรถยนต์ เพราะเวลาอากาศเย็น ประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์จะลดน้อยลง เพราะน้ำมันหล่อลื่นจะเกิดการจับตัวและมีความหนืดมาก ทำให้การขับเคลื่อนของเครื่องยนต์ช้าลง ถ้าไม่ได้วอร์มแบตเตอรี่เครื่องยนต์อาจทำให้ อุปกรณ์หรือชิ้นส่วนเกิดการสึกกร่อนได้ง่าย
“วอร์มแบต” ให้อุ่น “สตาร์ท” ปลอดภัย
ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ ควรเช็คระบบเกียร์ทุกครั้ง สำหรับระบบธรรมดา เกียร์ควรอยู่ในช่องเกียร์ว่าง ส่วนระบบเกียร์อัตโนมัติควรอยู่ที่ N หรือ P จากนั้นดึงเบรกมือไว้ เพื่อป้องกันการเคลื่อนของรถยนต์ขณะสตาร์ท
ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในรถยนต์ทั้งหมด เช่น เครื่องปรับอากาศ, เครื่องเสียง และอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ที่ต้องใช้ไฟจากแบตเตอรี่ เพื่อให้แบตเตอรี่มีกำลังไฟที่เพียงพอใน การสตาร์ท
บิดกุญแจไปยังตำแหน่ง ON เพื่อเช็คการทำงานของระบบต่างๆ รวมทั้งไฟสัญญาณเตือนบนแผงหน้าปัดทุกครั้ง ถ้าไม่มีสัญญาณไฟเตือน จึงค่อยๆ สตาร์ทเครื่องยนต์ เพื่อวอร์ม เครื่องยนต์และชาร์จประจุไฟฟ้ากลับเข้าแบตเตอรี่
การวอร์มเครื่องยนต์ทุกครั้ง ควรหลีกเลี่ยงวิธีการเหยียบคันเร่งหรือเคลื่อนที่รถยนต์ ควรใช้วิธีสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 นาที เพื่อให้เครื่องยนต์และอุปกรณ์ยานยนต์ต่างๆ มีอุณหภูมิสูงขึ้น
หลีกเลี่ยงการวอร์มเครื่องยนต์ในสถานที่ปิด หรืออากาศถ่ายเทไม่สะดวก เพราะจะทำให้เกิดการสะสมของก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ซึ่งมีอันตรายต่อร่างกาย
ช่วงระยะทาง 1-2 กิโลเมตรแรกในการขับรถยนต์ ไม่ควรขับรถเร็วเกินไป เพื่อให้เกิดการไหลเวียนของน้ำมันหล่อลื่น
การวอร์มเครื่องยนต์และแบตเตอรี่ก่อนการขับรถยนต์ เป็นการกระตุ้นหรือเพิ่มอุณหภูมิให้เครื่องยนต์อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน และเป็นการรักษาอุปกรณ์ยานยนต์ไม่ให้เกิดการสึกกร่อนก่อนเวลาอันควร นอกจากนี้ ควรเช็คระบบการทำงานของเครื่องยนต์ ทั้งระบบไฟส่องทาง, ไฟสัญญาณ ล้อยางและลมยาง หรือส่วนสำคัญส่วนอื่นๆ รวมทั้ง ‘แบตเตอรี’ ก่อนกา

อัพเกรดเครื่องมือติดรถ
เครื่องมือที่ติดรถมาตรฐานมักจะใช้งานไม่ค่อยได้ ดังนั้น คนที่ชอบทำเอง มักจะหาทางซื้อเครื่องมือใหม่ๆ มาเพิ่ม
เพราะแค่บล็อกถอดล้อ ประแจปากตายสองตัว ไขควงและคีมขนาดเล็ก เอาเข้าจริงๆ ใช้งานอะไรไม่ได้เลย
ดังนั้น หากจะช่วยตัวเองในการทำโน่นทำนี่ ให้แก่รถของตัวเอง ลองมองหาเครื่องมือที่ได้รับการจัด SET สำหรับงานอเนกประสงค์ และรถยนต์โดยเฉพาะ ซึ่งการเลือกซื้อควรพิจารณาถึงชนิดของงาน และขนาดของมัน เครื่องมือที่จะซื้อต้องเป็นงานกึ่งงานหนัก โดยดูจากวัสดุและความหลากหลายของเครื่องมือใน SET
เครื่องมือมาตรฐาน สำหรับรถยนต์ มีส่วนประกอบคล้ายกับเครื่องมือสำหรับติดไว้ใช้ในบ้าน เช่น ไขควง คัตเตอร์ คีมปากจิ้งจก คีมตัด หากเป็นของ SET รถแท้ๆ จะมี บล็อกและลูกบล็อก ประแจแหวนหรือประแจปากตาย เพิ่มขึ้นมา เป็นหลัก
งานบ้านอาจจะได้ใช้บล็อกและลูกบล็อกน้อยมาก เครื่องมือเป็น SET ควรเลือกที่ยี่ห้อ ที่มีชื่อเสียงเป็นหลัก เพราะว่าไหนๆ ซื้อแล้ว ควรใช้ของที่ดี เนื่องจากของไม่มีชื่อ อายุ ความทนทาน ความแม่นยำน้อยกว่า แถมยังทำลายเหลี่ยมนอต เหลี่ยมสกรู จนเสียหายได้
ซื้อเครื่องมือ อย่าเห็นแก่ SET ราคาถูก เพราะจะไม่ได้ของดี ส่วนใหญ่ช่างเขาเชื่อถือในแบรนด์ของเยอรมันกับญี่ปุ่นเสียส่วนใหญ่

ความเร็ว รถไฮบริด
จากการเผาไหม้ของน้ำมัน ที่เป็นพลังงานหลักในการขับเคลื่อนของรถยนต์ เพราะคาดการณ์กันว่าความร้อนจะเพิ่มมากขึ้นและน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนืออาจจะ ละลาย อาจจะมีบางเกาะบางประเทศจมน้ำทะเล ในกรุงเทพฯ เรานี่ก็ทันสมัยต่อเหตุการณ์นี้มีหลายแนวคิดครับตั้งแต่ย้ายเมือง ทำกำแพงกั้นไม่ให้น้ำหนุนเข้า ซึ่งต้องใช้งบประมาณอย่างมากมายมหาศาล ผลกระทบต่างๆ ก็จะมีตามมาอีกมาก
วันอาทิตย์ผมไปเล่น Golf ที่สนาม Green wood ชลบุรี มีโอกาสได้พูดคุยกับผู้ใช้รถไฮบริด โดยผมตั้งคำถามเพียงสองคำถามเท่านั้น เพราะเป็นคำถามที่กำลังอยากรู้มากในขณะนี้ คำถามแรกสายไฟฟ้าที่ต่อมาจากแบตเตอรี่ไฟฟ้าแรงสูงสีส้มใช่หรือไม่ ได้คำตอบว่าใช่ คำถามที่สองซึ่งเป็นคำถาม ว่า ความเร็วของระบบไฟฟ้าและการทำงานของเครื่องตัดต่อกันตอนไหนอย่างไร
"ความเร็วของรถเมื่อใช้ระบบไฟฟ้าจะเริ่มตั้งแต่ศูนย์ถึงประมาณ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากนั้นระบบจะตัดไปใช้น้ำมันเสียงเครื่องยนต์จะดังได้ยินชัด เมื่อขับความเร็วมากกว่านี้หมายความว่า เริ่มใช้น้ำมันแล้ว ระบบน้ำมันจะถูกตัดไปเป็นระบบไฟฟ้าอีกเมื่อไม่ได้เหยียบคันเร่ง อาทิเช่น เมื่อลงเนิน เมื่อเข้าทางโค้ง เมื่อจะถึงไฟแดงหรือจะถึงชุมชน การขับเคลื่อนในช่วงที่คนขับไม่ได้เหยียบคันเร่ง รถจะถูกขับโดยระบบไฟฟ้า สมมติว่าวิ่งมา 120 พอลงเนินก็ยกขาออกจากคันเร่ง ความเร็วลดลงมาที่ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงรถวิ่งต่อไปด้วยระบบไฟฟ้า แต่ถ้าเหยียบคันเร่งอีกเพื่อเพิ่มความเร็วระบบจะตัดจากไฟฟ้าไปเป็นน้ำมัน ทันที"
ระบบไฟฟ้าจะช่วยประหยัดในช่วงที่รถออกตัว เพราะความเร็วตั้งแต่ 0 ถึง 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นช่วงที่รถทุกคันซดน้ำมันมาก เพราะเครื่องยนต์ทำงานหนัก เนื่องจากเครื่องยนต์ต้องหมุนเพื่อเอารถที่จอดอยู่ซึ่งมีน้ำหนักมากให้เกิด ล้อหมุนนั่นเอง ส่วนการทำงานเมื่อไม่ได้เหยียบคันเร่ง หรือเมื่อจอดติดไฟแดงนั่นก็เป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยประหยัดได้ เพราะใช้พลังงานไฟฟ้า
สำหรับท่านที่ต้องการจะได้สัมผัสความเป็นตัวตนที่แท้จริง เพื่อเปรียบเทียบว่ามีความแตกต่างระหว่างการขับใช้พลังงานไฟฟ้ากับพลังงาน น้ำมัน ผมแนะนำว่าการหาทดลองขับได้ตามโชว์รูม ที่ขายรถไฮบริด หรือไม่ถ้าอยากขับจริงๆ บริษัทรถเช่าชั้นนำ อย่างเช่น Budget Rent a Car ผมโทรสอบถามไปก็มีรถไฮบริดให้เช่าแล้ว บริษัทรถเช่ารายอื่นๆ ก็น่าจะมีไว้บริการลูกค้าด้วยเช่นกัน
ได้มีโอกาสขับและได้ประสบการณ์ ตรงจะเลือกรถที่ใช้พลังงานทางเลือกได้ตรงใจมากกว่า

ลิมิเต็ดสลิป ทำงานอย่างไร
แรกเริ่มเดิมทีนั้น การหลีกเลี่ยง หรือ หลบหลีก เราต้องการเพียงการหยุดรถได้อย่างทันท่วงที หรือทันกับภาวการณ์ที่ต้องการ
ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ ล้อทั้งสี่จะล็อกตาย จึงเกิดระบบเบรกแบบ ABS เข้ามาช่วยลดทอนปัญหานั้นไป จากอุปกรณ์ในระบบที่ติดตั้งเข้ามาเป็นระบบ ABS นั้น ยังสามารถที่จะพัฒนา หรือเพิ่มงานให้กับระบบทั้งหมดได้เพียงแต่เพิ่มเติมอุปกรณ์เล็กน้อยเข้าไป (น่าจะเรียกได้ว่าการอัพเกรด)
ระบบ ABS จะทำงานต่อเมื่อแป้นเบรกถูกกด (เหยียบ) วงจรของระบบ ABS จึงจะทำงาน ปัญหาหนึ่งที่ผู้ใช้รถประสบกันอยู่ (โดยเฉพาะกับภูมิประเทศหนาว หิมะ ฝนตก ถนนลื่น) ก็คือ เมื่อออกรถ ล้อขับ (ถ้าเป็นขับหลัง ก็คือล้อหลัง ถ้าเป็นขับหน้า ก็คือล้อหน้า) มักจะหมุน (ล้อซ้าย-ขวา) มักจะหมุนด้วยความเร็วที่ไม่เท่ากัน เมื่อสภาพถนนนั้นถูกปกคลุมด้วยหิมะ หรือน้ำ เมื่อล้อขับสองล้อหมุน (ออกตัว) ด้วยความเร็วที่ต่างกัน ทิศทางของรถจึงยากลำบากในการควบคุม
ในยุคแรกๆ ของการแก้ปัญหาที่ยังไม่รู้จักกับระบบ ABS หรือยังไม่รู้จักพัฒนาเอาระบบ ABS ไปใช้อย่างอื่นๆ ทางแก้ที่ค่อนข้างจะได้ผลในการที่จะทำให้ล้อขับทั้งซ้าย และขวาหมุนด้วยความเร็วที่เท่ากันก็คือ การใส่อุปกรณ์ชุดหนึ่งเข้าไปในเฟืองท้าย ที่เรียกกันว่า ลิมิเต็ดสลิป (Limited Slip) ซึ่งอุปกรณ์ชุดนี้ จะทำหน้าที่บังคับให้ล้อหมุน (ล้อขับ) หมุนด้วยความเร็วที่เท่าๆ กัน เมื่ออยู่ในสภาพถนนที่ไม่เป็นใจ
จนเมื่อมีการใช้ระบบ ABS กันอย่างได้ผล และแพร่หลายในวงกว้าง การพัฒนาให้ระบบ ABS ใช้งานได้มากกว่าเดิม จึงทำให้เกิด ระบบ ETS (Electronic Traction Support) หรือ การป้องกันล้อหมุนฟรี (ล้อขับ) ซึ่งมาทดแทนระบบลิมิเต็ดสลิป หรือ ดีฟเฟอเรนเชียลล็อก (Automatic Differential lock) ซึ่งทั้งสองระบบมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ เมื่อต้องการออกตัวบนพื้นผิวถนนลื่น ล้อขับต้องหมุนด้วยความเร็วที่เท่ากัน แต่ในระบบลิมิเต็ดสลิปนั้น การจะทำให้ล้อขับหมุนด้วยความเร็วเท่ากัน จำเป็นที่จะต้องเพิ่มความเร็วของล้อขับด้านที่หมุนช้ากว่าให้มีความเร็ว เพิ่มขึ้น จนเท่ากับล้อที่หมุนเร็วอยู่แล้ว
แม้จะได้ผล แต่ล้อตามก็มักจะตามไม่ทันผู้ขับขี่ จึงต้องอาศัยประสบการณ์ที่มากกว่าในการควบคุม หรือกำหนดทิศทางของรถ แต่ในระบบ ETS (Electronic Traction Support) จะทำงานในลักษณะตรงกันข้ามกันคือ เมื่อล้อขับ ล้อใดล้อหนึ่ง หมุนด้วยความเร็วมากกว่าล้ออื่นๆ ระบบ ETS จะบังคับโดยอัตโนมัติด้วยการสั่งการให้ล้อที่หมุนเร็วกว่า ชะลอความเร็วลงให้ล้อที่หมุนเร็วกว่าอยู่ในสภาพเดียวกับล้ออื่นๆ
ซึ่งการทำงานนี้ ก็เกิดขึ้นได้ง่ายๆ จากการสั่งการของระบบ ABS ที่ถูกอัพเกรดมาให้ระบบเบรกของล้อที่หมุนเร็วกว่านั้น เบรก หรือจับได้เองโดยอัตโนมัติ ซึ่งในชุดอุปกรณ์ของระบบเบรก ABS ก็จะมีสายจับสัญญาณความเร็วของล้ออยู่ทุกล้ออยู่แล้ว เมื่อสายสัญญาณตรวจจับความเร็วของล้อ ข้อมูลนั้นก็จะถูกส่งไปยังสมอง ETS (ETS control module) ได้รับข้อมูล ก็จะรายงานไปยังระบบ ABS ให้สั่งการให้ระบบเบรกของล้อนั้น ทำงานเมื่อเบรกทำงาน ความเร็วของล้อก็จะลดลง จนมีความเร็วเท่ากับล้ออื่นๆ การสั่งการก็จะถูกยกเลิกโดยอัตโนมัติ
ETS จึงเป็นระบบเสริมจากระบบ ABS โดยเอาส่วนที่ยังเหลือใช้ของระบบ ABS นั้นมาใช้งานได้อย่างคุ้มค่า พูดกันง่ายๆ ก็คือ ระบบ ETS ใช้งานได้คุ้มค่ามากกว่าระบบลิมิเต็ดสลิป เช่น ผู้ขับรถไม่ต้องมีความเชี่ยวชาญในการขับรถมากนัก เพราะระบบจะทำงานเองเมื่อต้องการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง เพราะเมื่อเบรกทำงาน ก็ไม่จำเป็นต้องใช้รอบเครื่องสูงๆ การกำหนด หรือควบคุมทิศทางก็ทำได้อย่างง่ายๆ เพราะล้อขับ ลดความเร็วลง ก็หมายถึงว่า ล้อตามก็ต้องตามได้ทัน
เมื่อระบบ ETS ทำงาน สัญญาณไฟ ETS ที่หน้าปัดจะกะพริบเตือน ซึ่งหมายความว่า ในขณะนั้น สภาพของถนน ไม่เป็นใจให้คุณขับรถได้อย่างสะดวกสบาย หรือใช้ความเร็วสูงๆ ได้อีกต่อไป
สัญญาณอีกชนิดหนึ่งที่เตือนก็คือ ตราบใดที่ ไฟ ETS ติดแดง อยู่ตลอด (ไม่กะพริบ) สักชั่วระยะเวลาหนึ่ง นั่นก็หมายถึงว่า สัญญาณจับความเร็วที่ล้อใดล้อหนึ่ง หรือทั้งสองล้อของล้อขับนั้น บ่งบอกว่า ผ้าเบรก หรือจานเบรกของคุณถูกใช้งานหนัก (จากการสั่งการของระบบ ETS และ ABS) จนมีอุณหภูมิสูงกว่าปกติที่ควรจะเป็น และเมื่ออุณหภูมิของผ้าเบรก หรือจานเบรก ลดลงจนอยู่ในภาวะปกติ สัญญาณไฟนั้นจะหายไป ก็หมายความว่า คุณสามารถที่จะขับรถของคุณได้ตามต้องการแล้ว
หรือเมื่อคุณไม่เคยใช้ระบบ ETS (ที่จริงต้องพูดว่าระบบ ETS ไม่เคยใช้งานเลย) เมื่อคุณขับรถอยู่ในภาวะปกติ ไฟเตือน ETS แดงขึ้นตลอดเวลา ก็ไม่ต้องตกใจ รถคุณยังสามารถขับขี่ได้อย่างปกติ ระบบเบรกยังทำงานเป็นปกติ (เช่นเดียวกับเมื่อไม่ได้ติดตั้งระบบ ETS) เมื่อมีเวลาว่างเมื่อใด จึงนำเข้าตรวจเช็คในศูนย์บริการที่คุณวางใจ ครับ

เลือกรถตามการใช้งาน
คำถามที่ผู้คิดจะ ซื้อรถถามมาที่ผมส่วนใหญ่จะเริ่มต้นด้วย "อาจารย์ครับ ผมมีเงินสี่แสนแปด จะซื้อรถอะไรดีครับ"
นานๆ ครั้งหรือประมาณไม่เกินร้อยละห้าที่จะถามด้วยคำถามเริ่มต้นว่า "อาจารย์ค่ะ ดิฉันอยากได้รถยนต์สักคันหนึ่ง เอาไว้ขับจากบ้านไปที่ทำงาน ระยะทางไป-กลับ ไม่เกินยี่สิบกิโลเมตร ทางลาดยางตลอดสาย ปีละไม่เกินสองครั้งจะขับกลับไปเยี่ยมแม่ที่ระยองสักที ปกติใช้งานคนเดียว ดิฉันมีงบประมาณอยู่เจ็ดแสนบาท ควรมองรถอะไรบ้างคะ"
คนที่เริ่มต้น ด้วยประโยคแบบหลังนี่ละ ที่จะส่อให้เห็นว่าเป็นคนที่มีการวางกรอบความคิดเลือกรถอย่างมือโปรเอาไว้เป็นเบื้อง ต้น เพราะบอกวัตถุประสงค์และสภาพการใช้งานมาค่อนข้างชัดเจน แต่คนที่เริ่มต้นคิดซื้อรถแล้วนำเอางบประมาณมาเป็นตัว ตั้งอย่างแรก ท้ายที่สุด คงต้องไปปวดหัวกับการที่จะเริ่มต้นมีคำถามที่ไม่รู้จบตามมา อาทิเช่น "จะซื้อรถยุโรปมือสอง หรือซื้อรถญี่ปุ่นมือหนึ่งดีกว่ากัน" เป็นต้น
จงจำไว้ว่า การเอาวัตถุประสงค์ของสภาพการใช้งานมาเป็นตัวตั้งหรือมาเป็นโจทย์ จะทำให้คำตอบออกมาได้เหมาะสมมากกว่า ตามตัวอย่างคำถามของคุณสุภาพสตรีที่ถามมา จะเห็นได้ชัดเจนว่า สามารถซื้อรถยนต์มาใช้งานได้ด้วยราคาไม่ เกินหกแสนบาทเท่านั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์มือหนึ่งของญี่ปุ่น หรือรถยนต์มือสองของยุโรปก็สนองตอบ วัตถุประสงค์ดังกล่าวได้ดีเท่าเทียมกัน
อาทิเช่น สามารถซื้อรถยนต์ โตโยต้า โซลูน่า วีออส เกียร์อัตโนมัติ หรือจะเอา ฮอนด้า ซิตี้ เกียร์อัตโนมัติ ทั้งสองยี่ห้อไม่จำเป็นต้องเลือกรุ่นที่มีอุปกรณ์ไม่ต้องครบแบบที่เรียกว่า ฟูลออปชั่น แต่อย่างใด เพราะระยะทางไป-กลับ ยี่สิบกิโลเมตร ในแต่ละวัน เวลาที่อยู่บนรถไม่น่าจะเกินสองชั่วโมงต่อให้รถติดมากมายขนาดไหนก็ตาม
ความเร็วสูงสุดเฉลี่ยในการใช้งานก็น่าจะอยู่ที่ไม่เกินแปดสิบกิโลเมตรต่อ ชั่วโมง เพราะเป็นคนทำงานที่ส่วนใหญ่จะเดินทางในช่วงเวลาเดียวกันกับประชากรส่วนใหญ่ การจราจรจึงค่อนข้างติด การเลือกเอารถยนต์ที่มีแรงม้าสูงๆ จึงไม่จำเป็น รวมทั้งระบบ ABS หากสามารถลดทอนราคาลงไปได้อีกหลายหมื่น บาทก็ยังถือว่าสามารถลดทอนได้ เพราะว่าในสภาพการใช้งานดังกล่าว โอกาสที่จะได้ใช้ประสิทธิภาพของ ABS ก็มีไม่มากนัก ส่วนถุงลมนิรภัยจะมีหรือไม่มีก็ได้เช่นกัน หากต้องการจะมีและสามารถเลือกได้ ให้เลือกชนิดที่มีใบเดียวก็เหลือจะพอ เพราะบอกมาว่าปกติใช้งานคนเดียวเป็นส่วนใหญ่
ในโจทย์ตัวอย่างที่ให้ มา หากว่าเจ้าของคำถามต้องการเลือกเอารถยนต์ยุโรปมาใช้งาน จะด้วยความเชื่อส่วนตัวว่ารถยนต์ยุโรปดีกว่ารถญี่ปุ่น มีความปลอดภัยมากกว่า หรือจะเชื่อว่านั่งรถยุโรปแล้วดูดีมีสง่าราศีกว่าก็ ตาม ก็สามารถเลือกรถยุโรปมาใช้งานได้ โดยไม่ต้องไปกลัวปัญหาที่มักจะมีคนเตือนกันมาก ว่า "ซ่อมยากนะ" หรือ "กินน้ำมันมากนะ" หรือแม้แต่คำเตือนที่ว่า "หาอู่และอะไหล่ยากนะ" ฯลฯ
รถยนต์ยุโรป อาทิเช่น เบนซ์ 230 E รหัสตัวถัง W124 ที่เรียกกันว่ารุ่นโลงจำปา ปีประมาณ 1988 ก็พอหาซื้อได้ในราคาระดับหกแสนบาทบวกลบ ค่าซ่อมถูกกว่ารถยนต์ญี่ปุ่นรุ่นใหม่ๆ ขนาดกลาง อัตราการกินน้ำมันก็ไม่น่าห่วง เพราะใช้รถยนต์วันละไม่เกินยี่สิบ กิโลเมตร สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงต่างกันไม่มากนัก ส่วนเรื่องช่าง เรื่องอู่ และปัญหาอะไหล่ เป็นปัญหาเล็กน้อย เพราะส่วนใหญ่ใช้รถยนต์คันนี้อยู่ในกรุงเทพฯ สามารถหาอู่ที่มีความชำนาญรถดังกล่าวได้ทั่วไป อะไหล่ก็หาซื้อได้ตามร้านอะไหล่ทั่วไปทั้งอะไหล่ใช้แล้วและอะไหล่ใหม่ ข้อสำคัญอยู่ที่ต้องเลือกหาซื้อรถที่สภาพตัวถังไม่ช้ำมากนัก หรือผ่านการซ่อมตัวถังปะผุทำสีมาอย่างดีไม่มีที่ติแล้ว เรื่องเครื่องยนต์และช่วงล่างสามารถซ่อมและบูรณะให้คืนสภาพได้ง่าย
ทั้งนี้ หากได้ข้อมูลเรื่องระยะเวลาของความต้องการครอบครองรถยนต์คันดังกล่าว ก็จะตัดสินใจได้ง่ายขึ้น อาทิเช่น หากต้องการใช้รถยนต์คันนี้ไปอีกไม่น้อยกว่าห้า ปีถึงจะเปลี่ยนรถ อย่างนี้ก็แนะนำให้ย้อนกลับไปหาคำตอบจากคำแนะนำแรก เพราะจะได้รถยนต์ใหม่ที่อายุน้อย ระยะเวลาห้าปียังไม่มีสาเหตุอะไรที่จะต้องซ่อมบำรุงใหญ่ แต่หากเป็นการเลือกเอารถยนต์ยุโรปตามคำแนะนำหลัง กว่าจะครบห้าปีรถยนต์คันดังกล่าวก็จะมีอายุเกิน กว่าสิบห้าปี ทำให้สภาพของรถเสื่อมโทรมจนต้องซ่อมบำรุงอีก ครั้ง และราคาขายต่อจะตกลงจนถึงระดับหมดราคาทีเดียว
การเลือกรถยนต์ตามวัตถุประสงค์ใช้งานจริง จะทำให้ประหยัดเงินตราได้มาก ครับ

วิธีการเก็บยางให้มีอายุยาวนาน..
ยางรถยนต์ เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญสุด การใช้งานต้องรู้เทคนิค ต้องมีการบำรุงรักษา เพราะยางรถเปรียบเสมือนรองเท้า สวมใส่
ดีก็ดี ถ้าใช้รองเท้าไม่สมบูรณ์ ก็อาจจะทำให้เดินผิดพลาด หลายท่านอาจจะเจอปัญหา มีรองเท้าหลายคู่ เป็นรองเท้าใหม่ด้วยจะเก็บอย่างไร
ยางรถยนต์เป็นส่วนหนึ่ง ของอุปกรณ์เกี่ยวกับความปลอดภัย ทำให้นี้สำคัญคือ รองรับน้ำหนักรถ ลดแรงสั่นสะเทือน ถ่ายทอดกำลัง จากเครื่องยนต์สู่พื้นผิวถนน และที่สำคัญคือ ยึดเกาะถนน
การใช้งาน และการดูแลบำรุงรักษาอย่างถูกต้องทำให้ผู้ใช้รถมีความปลอดภัย การตรวจลมยางหรือการเติมลมยาง
ต้องมีความแม่นยำ ซึ่งเราต้องทราบสเปคของยาง แต่ละประเภท ชนิดของรถ เพราะว่าแรงดันของลมยาง จะไม่เท่ากันซึ่ง เช่น รถยนต์นั่งต้องการความนิ่มนวลในการขับขี่ รถบรรทุก ต้องมีความสามารถในการรับ น้ำหนักบรรทุก
ในส่วนของท่านที่ได้ยางใหม่ มายังไม่ได้ใช้ วิธีการเก็บให้มีอายุยาวนานคือ ไม่ให้ยางโดนแสง เก็บไว้ในที่ทึบแสงจะด้วยการจับใส่ห้องมือหรือเอาผ้าดำ ถุงดำคุมไว้ก็ได้ เพราะ แสงเป็นตัวทำปฏิกิริยาสำคัญที่ทำให้ส่วนประกอบเคมีของยางเปลี่ยนสภาพไป ยางถ้ายังไม่ได้ใช้เก็บดี ถูกวิธี เก็บได้หลายปี

TOYOTA ALTIS CNG / AUTO กท.ไปกลับหัวหิน ค่าแก๊ส NGV 254บาท ทดสอบ ขับไม่ย่อง 430กม. 59 สต./กม.
ประหยัดเกิน คาด จากค่าน้ำมัน เหลือจ่ายค่าแก๊สแค่ 1 ใน 5 กับโคโรลล่า ซีเอ็นจี ใช้แก๊สเอ็นจีวี ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานจากโรงงาน เป็นยี่ห้อและรุ่นแรกของรถตลาด (หากนับเบนซ์ อีคลาส เอ็นจีที เป็นรถหรูระดับสูง) เปิดตัวรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ช่วงปลายปีนี้ หลังจากรุ่นเกียร์ธรรมดาทำตลาดเรื่อยๆ มาปีกว่า รุ่นเกียร์อัตโนมัติสร้างความสนใจขึ้นเป็นวงกว้าง ด้วยราคาน้ำมันที่น่าจะป้วนเปี้ยนแถวๆ ลิตรละ 30บาท และการเป็นรถเอ็นจีวีแท้จากโรงงาน ราคาแพงจากรุ่นเครื่องเบนซิน อุปกรณ์มาตรฐานเดียวกัน เพียง 5 หมื่นบาท การติดตั้งเนี๊ยบ การรับประกันคุณภาพตามปกติ
ฐานที่ตัวถัง แสดงให้เห็นว่า เตรียมไว้สำหรับขาถังแก๊ส ตั้งแต่ในการผลิตตัวถัง
ถนนวงแหวนอุตสาหกรรม ขาออกไปสมุทรสาคร
ถนนพระราม 2 ขาออก
แถวจังหวัดเพชรบุรี ขาออก
ระยะทางช่วงแรก จอดเติมแก๊ส / หัวเติมอยู่ที่เดียวกับที่เติมน้ำมัน ไม่ต้องเปิดฝากระโปรงหน้าแบบรถเอ็นจีวีทั่วไป
159 กม. จากกท.-ท่ายาง ชะอำ จ่ายแค่นี้
ค่าแก๊สเอ็นจีวี 159 กม. แรก กท.-ชะอำ 64-86 บาท ของทั้ง 8 คันที่มาทดสอบ
ใน 2 ตารางล่างสุด มีการเติมน้ำมัน ! ที่พร่องจากการขับ 20-30 กม. สุดท้ายในกทม. ด้วย อย่างง...กับตัวเลขบาทรวม ที่เพิ่มมาจากเนื้อหาครับ
แรง ไหม อืดไหม กินกิโลเมตรละกี่บาท ถูกกว่าใช้น้ำมันแค่ไหน ?
โตโยต้า จัดให้สื่อมวลชนไทยทดสอบเป็นกลุ่มแรก ขับตามเส้นทางทั่วไป ไม่ย่อง ไม่ปิดแอร์ ขับให้เหมือนการใช้งานปกติ ไม่ต้องห่วงใคร ไม่ต้องขับเป็นขบวน
แก๊สเอ็นจีวีและน้ำมันแก๊สโซฮอล์เต็มถัง เริ่มล้อหมุนจากสำนักงานใหญ่ โตโยต้า สำโรง เก้าโมงครึ่งออกตัวด้วย น้ำมันฯ เหมือนอุ่นระบบแก๊สและเครื่องสักกิโลฯ ก็เร่งเข้าโหมดแก๊ส รถติดสักสองสามกิโลเมตร และสิบห้านาที ก็วนขึ้นสู่เส้นวงแหวน มุ่งสู่ถนนพระรามสอง สมุทรสาคร
การจราจรบนถนนวงแหวนฯ ปริมาณรถปานกลาง แต่ขับไล่เรียงกันได้แบบไหลๆ ความเร็วที่ใช้ประมาณ100-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คันเร่งค่อนข้างนิ่ง เบรกไม่บ่อย ไม่ถือว่าขับช้า ไม่มีการเกร็งเพื่อเน้นความประหยัด เพียงแต่ทางโล่ง จึงทำให้คันเร่งไม่แกว่งมากนัก ขับใช้งานแบบคนใจเย็นหน่อย ไม่กดคันเร่งกระโชกโฮกฮาก ก็แค่นั้น แอร์เลือกหมุนปุ่มความเย็นไว้สัก 80 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้เน้นประหยัดให้คอมฯ แอร์ตัดบ่อย
ตลอดทาง วงแหวนฯ พระรามสอง ยาวไปมหาชัย สมุทรสาคร ผ่านสามแยกวังมะนาว เลี้ยวซ้ายเข้าเพชรเกษม รถไม่แออัด ไม่ โล่ง สภาพกลางๆแต่ สามารถขับแบบคันเร่งไม่แกว่งได้ด้วยความเร็วแถวๆ 100 - 120 บางที่โล่งๆ ก็ไต่ไปที่ 140 กันบ้าง ผ่านริมเมืองเพชรบุรี ไปจนถึงจุดเติมแก๊สครั้งแรกที่นัดหมายไว้แถวๆ ท่ายาง-ชะอำ ปั้มปตท. ระบุกิโลเมตรกลางถนนที่ 192 ระยะทางบนหน้าปัดขึ้น 157 กิโลเมตร เติมแก๊สไป 64 บาท หรือ 40 สตางค์ ต่อ 1 กิโลเมตรส่วนคันอื่นๆ ก็เติมกันเฉลี่ย 70 กว่า บาท เขาขับกันเร็วกว่า แต่คันของเราไม่ได้ย่อง เพียงแต่คันเร่งไม่แกว่งเท่านั้น จึงประหยัดกว่า ไปถึงปั๊มช้ากว่ากันสัก 10นาทีเท่านั้น
ระยะเวลาในการเติมแก๊สที่ใครๆ ก็ร่ำลือว่าเอ็นจีวีเติม...ช้า ผมจับเวลาเลยครับ
ถ้านับเฉพาะเวลา เติมกันจริงๆ ไม่รวมจอดรอ เฉลี่ยทำได้ถึง ประมาณนาทีละ 4-5 กิโลกรัม คัน นี้ที่เติม 7กิโลกรัม ใช้เวลาในการปล่อยแก๊ส 1 นาที 55 วินาที เกือบ 2 นาทีเท่านั้นถังถ้าวิ่งจนแก๊สหมด ระบบจะดัดกลับน้ำมันอัตโนมัติ มีเสียงเตือนบอก โดยไม่กระตุกหรือเครื่องดับ ถังแก๊สของรถรุ่นนี้จะเติมได้ 12-13กิโลกรัม แล้วแต่แรงดันของปั๊มนั้นๆถังนึงน่าจะได้เกิน 200 กิโลเมตร แต่ ถ้าใช้ในเมืองน่าจะอยู่ในช่วง ร้อยห้าสิบ ถึงร้อยปลายๆ กิโลเมตร
ดัง นั้นถ้าวิ่งบนทางโล่งๆ แบบนี้...เปรียบเทียบ ถ้าใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ สมมุติทำได้ดีจัดๆ 15 กิโลเมตรต่อลิตร (ซึ่งไม่น่าประหยัดถึงขนาดนั้น) ก็เท่ากับกิโลเมตรละ 2 บาทคิด เป็นเงินประมาณ 320 บาท แต่ใช้ซีเอ็นจีจ่ายค่าแก๊สแค่ 64 บาท ประหยัดไป 5 เท่า หรือเปรียบเทียบง่ายๆ จากเคยจ่าย 100 บาท จะเหลือจ่ายแค่ 20 บาท
อัตราการกินแก๊ส ต้องบอกว่าดีเกินคาดครับ แม้ไม่ได้เข้าเมือง แต่ไม่ได้ขับช้าและไม่ได้เกร็ง นั่ง 2 คนตอนแรกเดาว่าน่าจะกินกิโลเมตรละ 50-70 สตางค์ แต่ผลออกมากินแค่ กิโลเมตรละ 40 สตางค์เท่านั้นถ้า ใครสนใจ อยากทราบว่าจะประหยัดค่าเชื้อเพลิงเท่าไร จากการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์
คำนวนแบบไม่ น่าผิดหวัง เอาค่าน้ำมันที่เคยจ่าย หาร 4 จะกลายเป็นค่าเอ็นจีวี ที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือน หากจะซื้อรถระดับราคา 8 แสนบาท และซื้อผ่อน ส่วน ต่างจะกลายเป็นค่าผ่อนรถสมมุติเคยใช้น้ำมันฯ จ่ายเดือนละ 6 พันบาท หากใช้รถรุ่นนี้ ก็จะเหลือเงินจากค่าเติมแก๊ส ไปช่วยผ่อนรถอีกเกือบ 5 พันบาท
เรื่องของระบบช่วงล่างและพวงมาลัย ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับน้ำหนักถังและอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้น การทรงตัว จึงไม่โคลง ไม่วูบวาบ ส่วนเรื่องอัตราเร่ง เมื่อลองกดสวิทช์เปรียบเทียบการใช้เอ็นจีวีกับน้ำมัน รู้สึกได้ถึงความแตกต่างบ้าง หากลองกดคันเร่งไว้นิ่งๆ แล้วกดสวิทช์เปลี่ยนจากแก๊สเป็นน้ำมัน รถจะมีอาการดึงไปข้างหน้าเบาๆ แต่ชัดเจนว่า เมื่อใช้น้ำมันแล้วอัตราเร่งดีขึ้น
แต่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะน่าจะเป็นเปอร์เซ็นต์ของแรงม้า-แรงบิด ที่ลดลงไปเป็นเลขตัวเดียว ไม่น่าลดลงเกินสิบเปอร์เซ็นต์และถ้าไม่ทดลองสลับระบบเชื้อเพลิงทันที แบบนี้หากให้ขับโดยไม่ให้ดูสวิทช์ว่าเป็นระบบอะไร หากความรู้สึกไม่เร็ว ก็อาจจะทายไม่ถูกว่าวิ่งด้วยน้ำมันหรือแก๊สอยู่
เมื่อ ทดลองหาความเร็วสูงสุด ทำได้ 170 กิโมตรต่อชั่วโมง และน่าจะเกินไปเล็กน้อย เพราะถนนหมดก่อนแรงเหมือนน้ำมัน มลพิษต่ำ ประหยัดสุดจริงๆ
โคโรลล่า อัลติส ซีเอ็นจี เกียร์ออโต้
การ ทดสอบยังไม่จบ การอัพเดทก็ยังไม่จบ เป็นการอัพโหดครั้งแรกของการทดสอบนี้ นับเป็นสื่อแรกๆ ของไทยที่รายงานเรื่องนี้หลังจากเติมแก๊สเสร็จในช่วงเที่ยง ก็มุ่งสู่หัวหินด้วยแก๊ส เพื่อไปร้านหารับประทานอาหาร คราวนี้เร่งเร็วหา ความเร็วสูงสุด เร่ง และผ่อนๆ บ้าง เข้าสู่หัวหินรถก็เยอะขึ้นมีจอดมีเบรกบ่อยพักช่วงบ่าย บ่ายแก่ๆ วนกลับไปดูโครงการเกี่ยวกับการอนุรักษ์ป่าชายเลน การขับต้องถือว่ากระโชก โฮกฮาก พรุ่งนี้ถึงจะเติมแก๊สอีกครั้ง
***อัพเดท เย็นวันที่ 2 เดินทางกลับมากรุงเทพแล้ว***
สรุป...สำโรง สมุทรสาคร เพชรบุรี ชะอำ หัวหิน ขับวนหัวหินหลายรอบ กลับเส้นทางเดิม มาสำโรงรวมระยะทางไป-กลับ หัวหิน ใช้แก๊สล้วน ประมาณ 430 กิโลเมตร เติมแก๊ส 3 ครั้ง บางครั้งกิโลกรัมละ 8.5บาท อีก 2 ครั้งต่างจังหวัดกิโลกรัมละ 9 บาทกว่า รวม ค่าแก๊ส 254 บาทขับไม่ย่อง แถมบางช่วงเร่งหาความเร็วสูงสุด และอัตราเร่ง รับรองว่าขับไม่ช้า ค่าแก๊สเอ็นจีวี จ่ายคำนวณเป็นกิโลเมตรละ 59 สตางค์
เรื่องเวลาในการเติม ซีเอ็นจี ที่ร่ำลือว่าช้า พิสูจน์กันครั้งสุดท้ายเติมที่สำโรง13 กิโลกรัม ใช้เวลาเติม จับเวลาด้วยนาฬิกา ใช้เวลา 1 นาที 45 วินาที (ไม่ถึง 2 นาที) เรื่องที่ร่ำลือกัน น่าจะเป็นเรื่องเวลารอคิวมากกว่า เพราะเติมจริงไม่เกิน 2 นาที เร็วกว่า เติมน้ำมันและแอลพีจี
เปรียบเทียบค่าใช้จ่าย
ถ้าใช้น้ำมัน คิดประมาณ 13 กิโลเมตรต่อลิตร (ดีมากแล้ว) ระยะทาง 430 กิโลเมตร จะใช้เงินประมาณ 993บาทถ้าใช้น้ำมัน คิดประมาณ 11 กิโลเมตรต่อลิตร (น่าจะใกล้เคียงความจริง) ระยะทาง 430 กิโลเมตร จะใช้เงินประมาณ 1200 บาท
หากใครอยากทราบว่า ระหว่างจะซื้อรถทั่วไปใช้กับรุ่นนี้ จะจ่ายค่าเชื้อเพลิงประหยัดลงเท่าไร ? ให้ เอาค่าน้ำมันเดิม หาร 4 จะเหลือเป็นยอดค่าแก๊สไม่เกินนี้ หรือ ถ้าหาร 5 ก็ยังพอได้ เคย จ่ายค่าน้ำมันเดือนละ6 พันบาท จะเหลือจ่ายค่าแก๊สเดือนละ 1200-1500 บาท ส่วน ต่างเอาไปช่วยผ่อนรถได้ตั้งเดือนละ 4-5พันบาท
ขอขอบคุณเนื้อหาและภาพจาก คุณวรพล สิงห์เขียวพงษ์

ใช้งานเนวิเกเตอร์ในชีวิตจริงอย่างไรให้มีความสุข
เนวิเกเตอร์นับว่าเป็นอุปกรณ์ประจำรถชิ้นใหม่ของหลายๆ คนจากข้อมูลที่ได้เขียนในสัปดาห์ก่อนๆก็อาจทำให้เกิดความเข้าใจและสนใจเครื่องนำทางมากขึ้น
สำหรับท่านที่ยังเป็นมือใหม่อาจจะมีความรู้สึกมึนงงบ้างไม่มากก็น้อยกับเนวิเกเตอร์ จะบอกว่าการใช้งานยากก็คงไม่ใช่เพราะเครื่องรุ่นใหม่ๆ ใช้งานง่ายกว่ารุ่นก่อนๆ เยอะ เนื่องจากเนวิเกเตอร์เป็นของใหม่และคนส่วนใหญ่ไม่มีประสบการณ์การใช้งานมาก่อน ไม่เหมือนกับโทรศัพท์มือถือที่เกือบทุกคนคงเคยใช้โทรศัพท์ธรรมดามาก่อนจะไปซื้อมือถือ เมื่อซื้อมาแล้วขอให้สนทนาได้ก่อนเป็นพอใจ ฟังก์ชันอื่นๆ ที่เติมเข้ามาก็ค่อยๆ ศึกษาไป
เนวิเกเตอร์เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์ที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีให้เราๆ ท่านๆได้เป็นเจ้าของกันได้ง่ายอย่างตอนนี้ คอมพิวเตอร์เริ่มแพร่หลายมากจริงๆ ไม่เกินสิบกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งในการใช้งานครั้งแรกของคนส่วนใหญ่ถ้าไม่ได้ไปเรียนวิธีการใช้งานเบื้องต้นก็ต้องงมเอาเอง ถามเพื่อนบ้าง รู้ว่าจะทำอันนี้ต้องใช้อันนั้นกดอย่างนี้ ต้องจดใส่กระดาษเป็นขั้นเป็นตอนในการใช้งานอะไรสักอย่าง อันนี้ก็เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าอะไรที่เราไม่เคยใช้มาก่อนนั้นต้องศึกษาและอดทนกว่าจะใช้งานได้เป็น ได้คล่อง จนเป็นที่พอใจ มิหนำซ้ำยังจะทำอะไรมากกว่าที่คาดไว้ได้อีกมากมาย
เนวิเกเตอร์หรือจีพีเอสแบบอื่นๆ ก็เช่นกัน ก่อนจะใช้ได้คล่อง ได้ประโยชน์ตามที่หวัง ต้องเรียนรู้ว่าข้อจำกัดของอุปกรณ์มีอะไรบ้าง ไม่มีสิ่งใดที่จะทำอย่างที่เราต้องการได้ทุกอย่าง หรือใช้ง่ายจนไม่ต้องศึกษาใดๆ เลย
จากประสบการณ์พบว่าคนที่ใช้คอมพิวเตอร์ได้จะใช้เนวิเกเตอร์ได้เร็วกว่าคนที่ไม่มีพื้นฐานเลย ผู้ใหญ่ท่านอยากใช้เพราะไม่คุ้นกับถนนใหม่ทำให้เดินทางไปไหนไม่สะดวก แต่เมื่อซื้อมาแล้วต้องยอมแพ้ยกให้ลูกให้หลานไปใช้เพราะมึนไปหมด หากใช้คอมพิวเตอร์เป็นบ้างก็น่าซื้อให้ ถ้าใช้ไม่เป็นเลยอย่าซื้อให้ดีกว่า เพราะคนรับคงดีใจตอนได้รับแต่เมื่อใช้แล้วใช้ไม่เป็น จะหงุดหงิดทั้งคนให้และคนรับ ข้อสันนิษฐานก็คือถ้าใช้คอมพิวเตอร์ไม่เป็นเลยจะไม่เข้าใจตรรกในการทำงานของซอฟต์แวร์ต่างๆ ทำให้เมื่อใช้แล้วหลงทางอยู่ในเมนูของเครื่อง
การใช้เนวิเกเตอร์ในการนำทางนั้นต้องมีการเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับการทำงานของซอฟต์แวร์ การแสดงผลและเสียงบอกนำทางของเครื่องก่อนจึงจะใช้งานได้อย่างดี สิ่งที่ควรทราบคือ เนื่องจากซอฟต์แวร์นำทางเกือบทั้งหมดเขียนในต่างประเทศ ซึ่งการออกแบบถนนไม่ได้เป็นแบบบ้านเรา ทำให้เกิดข้อจำกัดในการใช้งานบางอย่างขึ้น เช่น
1. ถนนยกระดับ ซึ่งในกรุงเทพมีถนนซ้อนกันพอสมควรทำให้เครื่องงงว่าเราอยู่ด้านบนหรือด้านล่าง แต่ในประเทศเช่นอเมริกาเท่าที่เห็นจะไม่มีการสร้างถนนยกระดับซ้อนกับถนนด้านล่าง การออกแบบซอฟต์แวร์จึงไม่รองรับเรื่องนี้ ซึ่งแน่นอนว่าการใช้งานนั้นไม่ควรจะดูแต่การนำทางเฉพาะหน้าเท่านั้น ควรศึกษาเส้นทางที่เครื่องเลือกให้เดินทางและจดจำเส้นทางไว้ในใจด้วย อย่าพึ่งแต่เครื่องอย่างเดียว
2. ทางแยกสะพานต่างระดับที่ซับซ้อน รวมทั้งทางต่างระดับในทางด่วนหรือมอเตอร์เวย์ ที่เพิ่งเจอเมื่อวานคือถนนวิภาวดีจะไปเซ็นทรัลลาดพร้าว ตอนนี้มีสะพานข้ามไป เนื่องจากไม่ได้ไปแถวนั้นบ่อยนักก็จะงงว่าเส้นไหนกันแน่ เพราะเริ่มจากเส้นเดียวแต่แตกออกไป 3 ทางแยก ณ จุดเดียวกัน หากฟังเสียงอย่างเดียวอาจจะหลงได้ ต้องดูเส้นนำทางประกอบรวมทั้งป้ายจราจรด้วย เช่นเดียวกับข้อแรกคือหากศึกษาเส้นทางของเครื่องก่อนก็จะดี
3. อย่าขับตามเครื่องตลอด ถ้ารู้ทางบางส่วนอยู่แล้วให้ขับตามใจเรา ถ้าเราขับตามทางที่เราชอบเครื่องจะคำนวณเส้นทางใหม่เอง พอไปบริเวณที่ไม่รู้ค่อยเชื่อเครื่อง ถ้าไม่รู้อะไรเลยก็เชื่อเครื่องตลอด
4. นำทางในเมืองอยู่ดีๆ คำนวณเส้นทางใหม่เอง แม้ว่าไม่ได้เลี้ยวผิดหรือจอดอยู่เฉยๆ อันนี้ก็อาจเกิดขึ้นได้ในบริเวณตึกสูงซึ่งจะบังสัญญาณทำให้ตำแหน่งแกว่ง เครื่องก็จะงงว่าอยู่ตรงไหนกันแน่ อันนี้ก็เช่นเดียวกันให้ดูในหน้าจอสรุปเส้นทางแล้วจดจำไว้ว่าเลี้ยวที่ไหนไปอย่างไรบ้างคร่าวๆ ก็จะช่วยได้ ถ้าไม่ศึกษาเส้นทางไว้เลยมึนแน่นอนครับถ้าไปบริเวณที่มีตึกหนาแน่น
5. กฎจราจร บางครั้งอาจจะเจอว่าเครื่องบอกให้เลี้ยวขณะที่ป้ายจราจรบอกเลี้ยวไม่ได้ ก็อาจจะผิดพลาดตอนเก็บข้อมูลหรือตำรวจเปลี่ยนการจราจร ก็ต้องเชื่อป้าย
6. เสียงบอกนำทางกับเส้นนำทางไม่ตรงกัน อันนี้ก็เกิดขึ้นได้จากการโปรแกรมที่ไม่ถูกต้อง ต้องดูเส้นนำทางเป็นหลัก
7. พาเข้าซอยตัน เคยเจอหนึ่งครั้ง ก็ให้เครื่องคำนวณใหม่โดยถอยหลังกลับแล้วดูแผนที่ในเครื่องประกอบ
8. พาไปไม่ถึงจุดหมาย แต่พาอ้อมไปบริเวณใกล้เคียง อันนี้ส่วนใหญ่เกิดจากการสร้างจุดหมายของเราในบริเวณที่ไม่มีถนนในแผนที่ ทำให้เครื่องคำนวณไปยังจุดที่ใกล้จุดนั้นที่สุดตามข้อมูลแผนที่ ดังนั้นจะสร้างตำแหน่งบ้านหรือจุดอื่นๆ เอง ให้ดูว่ามีถนนหน้าบ้านหรือไม่ ถ้าไม่มีให้ไปสร้างตำแหน่งที่มีถนนบริเวณเป็นจุดสุดท้ายซึ่งใกล้และเป็นถนนที่ไปยังจุดหมาย
9. เส้นทางที่เครื่องเลือกให้ไม่ถูกใจ ทำไงดี มี 2 ทางคือ ส่วนที่รู้ให้ขับตามทางที่เราชอบเครื่องจะคำนวณเส้นทางใหม่เอง พอไปบริเวณที่ไม่รู้ค่อยเชื่อเครื่อง ที่เป็นเช่นนี้เพราะเครื่องไม่มีข้อมูลจราจรมาประกอบนอกจากความเร็วเฉลี่ยที่ถูกโปรแกรมมาเป็นค่าคงที่ แต่ถ้าเมื่อใดมีข้อมูลจราจรแบบเรียลไทม์มาประกอบเชื่อเครื่องน่าจะดีกว่าครับ อีกวิธีก็ใช้การแต่งเส้นทางโดยสร้างจุดแวะให้เครื่องวิ่งไปในทางที่ชอบ หรือเครื่องที่สร้างเส้นทางได้ก็สร้างเส้นทางเก็บเอาไว้
ทั้งนี้ก็สรุปได้ว่าเนวิเกเตอร์เป็นเครื่องช่วยในการนำทางแต่ผู้ขับขี่ก็คือผู้กุมพวงมาลัย และเป็นผู้นำทางตัวจริง อย่าทิ้งความสามารถนี้ไปและพึ่งแต่เครื่อง ให้ศึกษาเส้นทางที่เครื่องแนะนำก่อนออกเดินทาง ดูในจุดที่น่าจะเป็นปัญหา จดจำเส้นทางคร่าวๆไว้เองด้วย และหากไปไกลศึกษาแผนที่กระดาษประกอบด้วยก็จะใช้เนวิเกเตอร์ได้อย่างมีความสุขครับ

ไฟตัดหมอก แฟชั่น...อันตราย!
เสียงบ่นจากผู้ขับขี่รถยนต์บนท้องถนนมีมากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับแสงไฟสว่างจ้าจนบางครั้งเกินความจำเป็น ที่สาดส่องมาจากรถที่วิ่งอยู่บนถนนเส้นเดี
เสียงบ่นจากผู้ขับขี่รถยนต์บนท้องถนนมีมากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับแสงไฟสว่างจ้าจนบางครั้งเกินความจำเป็น ที่สาดส่องมาจากรถที่วิ่งอยู่บนถนนเส้นเดียวกัน
ไฟตัดหมอก อุปกรณ์แต่งรถที่กำลังเป็นแฟชั่นระบาดไปทั่วทั้งรถเก๋ง และรถปิกอัพ คือ ที่มาของแสงสว่างจ้าบนท้องถนนยามค่ำคืน
การเปิดไฟตัดหมอกอาจดูเท่ในสายตาเจ้าของรถ แต่สำหรับผู้ขับขี่ที่โดนแสงไฟตัดหมอกที่เปิดในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม สาดใส่แล้วละก็กลับกลายเป็นความทุกข์ที่ส่งผลต่อทัศนวิสัยในการมองเห็น และต้องจำทนกับสภาพนี้โดยทำอะไรไม่ได้มากนอกจากขับหนี หรือปล่อยให้แซงหน้าไป
จากการใช้งานในช่วงเวลาที่ผิดนี้เอง อาจทำให้คุณประโยชน์ที่มีมหาศาลของไฟตัดหมอก กลายเป็นแค่สินค้าแฟชั่น ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายและอุบัติเหตุแก่รถยนต์คันอื่นบนท้องถนนได้
ความจริงไฟตัดหมอกมีมานานแล้ว แต่ในเมืองไทยยังไม่เป็นที่นิยมเพราะราคาแพงและไม่มีความจำเป็น จึงมีให้เห็นเฉพาะกับรถนำเข้าจากเขตเมืองหนาวหรือเขตเมืองที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากๆ เท่านั้น ต่อมาค่านิยมเริ่มเปลี่ยนไป เพราะการติดไฟตัดหมอกถือว่าเท่และทันสมัย ประกอบกับราคาที่ถูกลงจึงมีการหาซื้อมาดัดแปลงติดตั้งเพิ่มเติมกัน แม้แต่รถที่ผลิตในเมืองไทยก็ยังนิยมติดไฟตัดหมอก
“ไฟตัดหมอก” ถือกำเนิดขึ้นมาในแถบประเทศที่มีภูมิประเทศเป็นภูเขาสูง อากาศหนาว หรือประเทศที่เป็นเกาะล้อมรอบด้วยน้ำทำให้มีฝนตกบ่อยตลอดทั้งปี มีบรรยากาศที่ขมุกขมัวหรือมีหมอกเป็นส่วนมาก ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยสูงสุดในการใช้ยานพาหนะจึงมีการคิดค้นไฟตัดหมอกขึ้นมา
ไฟตัดหมอกจะใช้ไฟที่ให้ความสว่างสูง ส่วนใหญ่หลอดจะเป็นสปอตไลท์ ส่องในระนาบขนานกับพื้นถนนหรือตกพื้นในระยะไกล ดังนั้นความสว่างจึงมีมากและส่องได้ไกลกว่า โดยเฉพาะในยามที่ฝนตกหนัก หรือหมอกลงจัด
หลอดไฟหน้าปกติถ้าเปิดส่องในขณะที่หมอกจัด มุมที่เอียงลงต่ำทำให้เกิดมุมสะท้อนกลับสู่สายตาของผู้ขับขี่ จึงทำให้แสงที่ส่องผ่านไปมีน้อย หรือมองเห็นแค่ในระยะไม่เกิน 10 - 15 เมตร แถมแสบตากับแสงที่สะท้อนกลับ แต่ไฟตัดหมอกที่ส่องแบบขนานพื้นจะไม่สะท้อนมาที่ห้องโดยสาร เพราะสามารถทะลุทะลวงได้มาก และสะท้อนกลับมาในมุมที่ไม่กระทบผู้ขับขี่ ทำให้มองเห็นได้ในระยะมากกว่า 30 - 80 เมตร
ในทำนองเดียวกัน เมื่อพื้นถนนเปียกหรือฝนหยุดตกใหม่ๆ ในตอนกลางคืน ไฟหน้าปกติที่ส่องลงผิวถนนจะถูกพื้นน้ำสะท้อนออกไปอีกมุมหนึ่ง ซึ่งบางครั้งแทบจะมองไม่เห็นผิวถนนด้วยซ้ำ แต่ไฟตัดหมอกที่แทบจะไม่ส่องลงพื้นถนนยังสามารถมองเห็นผิวถนนในระยะสายตาได้อย่างชัดเจน ซึ่งในแถบประเทศเขตเมืองหนาวได้ออกกฎบังคับให้รถทุกคัน ต้องมีไฟตัดหมอกเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ปัจจุบันคนไทยนิยมตกแต่งรถด้วยไฟตัดหมอก และมักเปิดใช้อย่างพร่ำเพรื่อ ผิดวิธี ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้เส้นทางรายอื่นๆ เพราะ ไฟตัดหมอกเป็นไฟที่ให้ความสว่างสูง ส่วนใหญ่หลอดจะเป็นสปอตไลท์จึงสามารถส่องสว่างไปได้ไกล ซึ่งหากเปิดใช้ในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม แสงจากหลอดไฟตัดหมอกจะไปแยงและรบกวนสายตาผู้ที่ขับรถสวนทางมาทำให้ตาพร่ามัว จึงมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุได้สูงกว่าปกติ
การใช้ไฟตัดหมอกให้ถูกวิธี จึงมีการรณรงค์กันอย่างต่อเนื่องจากทั้งทางภาครัฐ และเอกชน โดยกรณีที่จำเป็นต้องเปิดไฟตัดหมอก ประกอบด้วย
1. ฝนตกปรอยๆ หรือตกหนัก ไฟตัดหมอกจะมีประโยชน์มาก แม้จะเป็นช่วงกลางวันก็ตามเพราะมันสามารถช่วยให้รถที่สวนมามองเห็นไฟตัดหมอกอย่างชัดเจน
2. เมื่อขึ้นภูเขาสูงหรือยอดเขา โดยเฉพาะช่วงหน้าหนาวทั้งตอนเช้าและตอนกลางคืน เพราะที่สูงๆ นั้น หมอกจะมีมากกว่าปกติ
3. ในช่วงกลางคืนหลังฝนหยุดตกหรือถนนยังเปียกอยู่ ซึ่งไฟตัดหมอกจะช่วยให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ดีขึ้น เพราะไฟหน้าปกติถูกน้ำสะท้อนไปเกือบหมดแล้ว
4. ทุกกรณีที่มีหมอกหรือควันเกิดขึ้นบนท้องถนนที่บดบังทัศนวิสัยให้มองเห็นได้น้อยกว่า 50 เมตร
แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ควรปิดไฟตัดหมอกทันทีที่มีรถสวนมาในระยะที่มองเห็นไฟหน้าของรถที่สวนมาได้อย่างชัดเจน แม้แต่รถที่มีระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติก็จะสั่งปิดไฟตัดหมอก คงไว้เฉพาะไฟปกติเมื่อสัญญาณจับได้ว่ามีไฟสะท้อนมาในมุมตรงข้าม
การใช้ไฟตัดหมอกอย่างถูกวิธีจะก่อให้เกิดประโยชน์และช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน และเสริมทัศนวิสัยของผู้ขับขี่ให้ดีขึ้น
ในทางตรงกันข้าม การเปิดไฟตัดหมอกอย่างพร่ำเพรื่อ ไม่มีมารยาท และผิดวิธี นอกจากจะรบกวนสายตาและสร้างความรำคาญให้กับผู้ขับรถรายอื่นๆ ที่ร่วมใช้เส้นทางแล้ว ยังเพิ่มโอกาสทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายกว่าปกติอีกด้วย
"ปัจจุบันคนไทยนิยมตกแต่งรถด้วยไฟตัดหมอก และมักเปิดใช้อย่างพร่ำเพรื่อ ผิดวิธี ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้เส้นทางรายอื่นๆ"

เปิดคัมภีร์เลือก เก๋ง CNG มาตรฐานโรงงาน
พลังงานทางเลือกใกล้ตัวไม่ต้องไปดูอะไรในอนาคตให้เปลืองลูกตา หันมาโฟกัสที่การใช้งานรถ เอ็นจีวีดีกว่า เวลานี้ตลาดมีรถให้เลือกมากมาย เปิดโลกยนตรกรรม สัปดาห์นี้เจาะลึกข้อมูลตลาดรถ CNG มาตรฐานโรงงาน ใครเป็นใคร รวมถึงหลักเกณฑ์คร่าวๆ สำหรับการประเมินรถ CNG มาตราฐานโรงงาน ก่อนซื้อ นั้นมีอะไรต้องคิดกันเบื้องต้น บ้าง
เรื่องประสิทธิภาพโดยรวมของรถสำหรับการประเมิน ประการแรก คิอ น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นแล้วมีการปรับปรุงรถรองรับหรือไม่ เพราะว่า ทำให้การขับอืดหรืออุ้ยอ้าย ขึ้นหรือไม่อย่างไร เพราะว่าโดยเฉลี่ย รถที่ทำออกมา น้ำหนักจะเพิ่มขึ้น จากาอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ถัง หัวฉีด ท่อ และน้ำหนักก๊าสเมื่อเติมเต็มจะอยู่ประมาณ 100 กิโลกรีม โดยส่วนใหญ่ 70% เป็นน้ำหนักของถังเปล่า ซึ่งทุกค่ายวางไว้ท้าย ทำให้นำหนักลงท้าย มีผลต่อน้ำหนักพวงมาลัย(หน้ายก) และท้ายหน่วง ซึ่งสิ่งเหล่านี้รถมาตรฐานจะต้องปรับค่าของระบบช่วงล่าง ประการสุดท้ายคือ เรื่องของความอึด โดยเฉพาะเรื่องการสึกหรอของเครื่องยนต์ บ่าวาล์วหรืออื่นๆ ซึ่งหากทุกอย่างจูนมาตัว จะผ่านมาตรฐานที่ควรจะเป็นแต่ก็มีโอกาสหากว่า การทดสอบทำไปไม่ถึง
ระบบจ่ายและจุดเติมเชื้อเพลิง
ระบบจ่ายเชื้อเพลิงสำหรับรถ CNG มาตรฐานโรงงานที่เห็นล้วนเป็นระบบหัวฉีด ซึ่งถือเป็นระบบที่ทันสมัยที่สุดและนิยมติดตั้งในกลุ่มรถมาตรฐานอยู่แล้ว ระบบนี้มีความละเอียดจึงไม่มีปัญหาจุกจิก หรือต้องไปไฟน์จูนบ่อยๆ ความแม่นยำของกล่องควบคุมจะช่วยให้ทุกอย่างทำงานสมบูรณ์ ส่วนจุดเติมเชื้อเพลิงควรจะอยู่ในตำแหน่งเดียวกับช่องเติมน้ำมัน ถ้าต้องเปิดฝาประโปรงหน้าอยู่ คงไม่ใช่รถร่วมสมัยเท่าไร
พื้นที่ท้ายเก็บของ
นี่คือปัญหาของรถใช้ก๊าส ที่ถูกต่อเติมภายหลัง (แม้เป็น CNG มาตรฐานโรงงาน) เพราะว่า ความนิยมเกิดขึ้นทีหลัง รถเหล่านี้ไม่ได้ออกแบบมาตั้งแต่แรกเหมือนเบนซ์ เอ็นจีที ดังนั้นพื้นที่เก็บของด้านหลังจะเสียไป 1 ใน 3 หรืออาจจะมากกว่านั้นเพื่อติดตั้งถังขนาดใหญ่ (70-90 ลิตร) แต่ถ้าผู้ซื้อ ทราบตั้งแต่แรกแล้วและยอมรับได้กับพื้นที่ที่เสียไปก็ไม่ใช่ปัญหา
การเก็บงานเพื่อความปลอดภัย
การติดตั้งอุปกรณ์ทุกชนิดเกี่ยวกับเชื้อเพลิงจำเป็นต้องมีมาตรฐานสูงทั้งวัสดุอุปกรณ์ การออกแบบ เช่น จุดยึดหัวฉีด ควรออกแบบกันสั่นหรือถ้าต้องสั่นก็ต้องคิดเผื่อพร้อมไปด้วย เช่นให้สั่นไปพร้อมกับแท่นเครื่อง มิฉะนั้นการสั่นสะเทือนที่เกิดจากธรรมชาติของเครื่องยนต์ซึ่งทำงานปกติ จะก่อให้เกิดทำความเสียในส่วนที่เติมเข้าไปก็ได้ การยึดถังก๊าสตรงลงไปที่ตัวพื้นรถอาจจะไม่ทางเลือกที่ปลอดภัยดีเท่ากับการมีแท่นรองรับอีกต่อหนึ่ง สายเชื้อเพลิง (ท่อก๊าส) จำเป็นต้องใช้วัสดุที่มีความเหนียวเป็นพิเศษ เพื่อความปลอดภัยและจัดวางอยู่ในจุดที่ปลอดภัย
การปรับประกันคุณภาพ
การรับประกันต้องดูที่ระยะเวลาเงื่อนไข สำหรับ CNG มาตรฐานโรงงานอย่างน้อยต้อง 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร เหมือนรถรุ่นปกติ งานนี้จึงจะสบายใจได้ ทีนี้มาดูว่า ใครเป็นใครในตลาดเก๋งไบ-ฟิว (Bi-Fuel)
มิตซูแลนเซอร์ ซีเอ็นจี
แลนเซอร์ 1.6 ซีเอ็นจี (CNG) รถจากบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เครื่องยนต์ 4G 18 ขนาด 1.6 ลิตร SOHC 4 สูบ 16 วาล์ว ใช้เชื้อเพลิงไบ-ฟิว (Bi-Fuel) หรือเชื้อเพลิง 2 ระบบ (น้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี 20 และก๊าซซีเอ็นจี) ถังก๊าซแบบไทพ์ทู (Type II ถังเหล็กหุ้มไฟเบอร์) ระบบจ่ายก๊าซแบบหัวฉีด เติมก๊าซที่ฝากระโปรงหน้า ราคา 694,000 บาท สำหรับรุ่น GLX เกียร์ธรรมดา และ 734,000 บาท สำหรับรุ่น GLX CVT ส่วนรุ่นท็อป SEi CVT ราคา 837,000 บาท รับประกัน 3 ปี หรือ 100,000 กม. มิตซูบิชิเป็นรถที่น่าจะราคาคุ้มค่า ข้อด้อยคือเป็นรุ่นที่กำลังจะหมดอายุโมเดลในเวลาไม่ไกลนัก
โปรตอน เพอร์โซนา ซีเอ็นจี
บริษัท พระนคร โอโต เซลส์ จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์โปรตอนจากมาเลเซีย โปรตอน เพอร์โซนา ซีเอ็นจี (Proton Persona CNG) เครื่องยนต์ 1600 ซีซี ระบบจ่ายก๊าซแบบหัวฉีด 110 ?แรงม้า? ?ที่? 6,500 ?รอบต่อนาที? ?เติมก๊าซที่ฝาถังน้ำมัน ถังจุ 90 ลิตรน้ำ รับประกันยาว 3 ปีหรือ 100,000 กม. เพอร์โซนา ซีเอ็นจี ออกมาขายทั้งหมด 3 รุ่น คือ รุ่น 1.6 เกียร์ธรรมดา ราคา 549,000 บาท รุ่น 1.6 มิดเดิลไลท์ เกียร์อัตโนมัติ ราคา 584,000 บาท และรุ่น 1.6 ไฮไลท์ ตัวท็อปสุด เกียร์อัตโนมัติ ราคา 629,000 บาท ข้อเด่นที่ราคาแต่ขาดตัวรถอาจจะไม่ใหญ่โตนัก เป็นรถที่ออกแบบมา สำหรับประหยัด ลงทุนใช้นานคุ้มค่า
ออพตร้า ซีเอ็นจี
บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ส่งออพตร้า ซีเอ็นจี ที่ใช้ได้ทั้งน้ำมันเบนซินและก๊าซธรรมชาติซีเอ็นจี มาทำตลาดรถเชฟโรเลต ออพตร้า เครื่องยนต์ 1600 ซีซี 107 แรงม้า ที่ 5,800 รอบต่อนาที เติมก๊าซที่ฝาน้ำมัน ขนาดถัง 70 ลิตรน้ำ รับประกัน 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร มีรุ่นให้เลือกคือ 1.6LS (CNG) 1.6LT (CNG) และ 1.6 Estate LT (CNG) ราคา 719 ,000-1,001,000 รถตัวนี้ตกอยู่ในสภาพเดียวกับแลนเซอร์ คือปลายโมเดล แต่ก็ปลายไม่มาก เพราะจากข่าวกว่าตัวใหม่จะมาแทนก็อย่างน้อย 12 เดือนขึ้นไป อย่างไรก็ตาม ราคาเปิดมาไม่แพง ถือว่าคุ้มค่า
ฮุนได โซนาต้า 2.0 ซีเอ็นจี
รถขนาดใหญ่คันเดียวที่ได้ยกมากล่าวถึง (ใหญ่กว่านี้เป็นเบนซ์ NGT รถใหม่สต็อกแล้ว) เครื่องยนต์ 2000 ซีซี ราคา 2.0 EL CNG ราคา 1,075,000 บาท และรุ่น 2.0 SP CNG ราคา 1,095,000 บาท ถังจุ 100 ลิตรน้ำ จุดเติมก๊าซที่ฝาน้ำมัน รับประกัน 3 ปี หรือ 100,000 กม. ข้อเด่นคือ เป็นรถนำเข้าสำเร็จรูป ตัวถังใหญ่ ถึงก๊าซใหญ่ได้เปรียบหลายด้าน แต่ราคาก็แตะล้านไปด้วย
โตโยต้า อัลติส A/T
เก๋งไบ-ฟิว (Bi-Fuel) ในตลาดของโตโยต้า ในรุ่นแอดวานซ์ ซีเอ็นจี 1.6 เกียร์อัตโนมัติ(A/T) 109 แรงม้า ถังไทร์ วัน จุ 75 ลิตรน้ำ ราคา 834,000 หลังจากโตโยต้าส่งเก๋ง เกียร์ธรรมดาลงตลาดมาพักใหญ่ก็มาถึงเวอร์ชั่นเกียร์อัตโนมัติ เป็นรถใหม่มาตรฐานเชื่อถือได้ รับประกับ 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร

ขับปลอดภัยขจัดภัยอุบัติเหตุ
"ขับดี มีน้ำใจ ภัยไม่มี" เป็นเพียงคำกล่าวที่หยิบยกขึ้นมารณรงค์ แต่ความรู้ที่ช่วยให้ปลอดภัยอย่างแท้จริงเรายังต้องเสาะหา การขับรถดีอาจไม่สามารถบอกต่อให้คนรุ่นหลังได้ครบถ้วน ทำให้หลายคนมีวิธีการปฏิบัติและมีเนื้อหาแตกต่างกัน บางคนใช้วิธีการบอกด้วยความคิด ความรู้สึก ความเข้าใจของตน มิได้มีข้อมูลที่ถูกต้องตรงกัน สิ่งนี้เองเป็นต้นเหตุของความสูญเสีย
บ่อยครั้งที่มีรายงาน การเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์เรามักจะได้ยินสาเหตุของการชนกันว่ามาจาก ความประมาท ความมึนเมา มีรถตัดหน้า คันหน้าจอดกะทันหัน ทั้งหมดที่กล่าวมาคือ เหตุเบื้องต้น ยังไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริงของการเกิดอุบัติเหตุ และยิ่งเป็นอันตรายมากขึ้นไปอีก หากนำวิธีแก้ไขแบบผิดๆ ไปเผยแพร่หรือแนะนำการขับแบบตามๆ กันมา
เหมือนการฉีดยาพิษให้ผู้ขับรถ วิธีปฏิบัติผิดๆ ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ เช่น สอนให้เมื่อขับผ่านสี่แยก ถ้าต้องการตรงไปข้างหน้าแล้ว ต้องเปิดไฟฉุกเฉิน ฝนตก เปิดไฟฉุกเฉิน ทุกเทศกาล ปัญหาการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ เป็นเรื่องใหญ่ ยังดีปีนี้นายกรัฐมนตรี ออกมาตื่นตัวเป็นคนแรกๆ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้คนขับรถต้องระวังมากขึ้น ในสัปดาห์สุดท้ายของปีเรานำเสนอเทคนิคเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ และหวังว่าทุกท่านจะปลอดภัยเมื่อต้องขับรถเดินทางไกล
การเตรียมตัวก่อนออกเดินทาง (Pre -Trip Preparation)
ก่อนจะใช้รถ ใกล้ไกลควรจะมีเวลาสำหรับการเตรียมความพร้อม แม้การเดินทางระยะทางใกล้ๆ การเตรียมรถก็ควรฝึกให้เป็นนิสัย เราควรตรวจสิ่งต่างๆ เช่น ตัวเราเอง
ร่างกาย ต้องพร้อมพักผ่อนให้เพียงพอ และหากเหนื่อยล้า หรือง่วงนอนระหว่างทาง ควรเปลี่ยนมือ ถ้าไม่มีใครเปลี่ยน ควรพักผ่อน และพยายามอย่ามุ่งมั่นไปที่ปลายทางเพียงอย่างเดียว ควรแวะพักเป็นระยะ ที่สำคัญ ห้ามดื่มของมึนเมาเด็ดขาด คนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ความเหนื่อยล้าคือกลไกของร่างกายมนุษย์ ยาหรือสารกระตุ้นใดๆ จึงไม่สามารถป้องกันความเหนื่อยล้าได้
การนอนหลับเท่านั้น ที่จะช่วยป้องกันความเหนื่อยล้าและอาการหลับในได้ การนอนหลับอย่างเพียงพอหรือประมาณ 7-8 ชั่วโมงจะป้องกันความเหนื่อยล้า อาการหลับในที่เกิดกับผู้ขับขี่รถยนต์มีผลมาจากความเหนื่อยล้า ช่วงระยะเวลาที่ร่างกายล้ามากที่สุด คือ ช่วงตั้งแต่เที่ยงคืนถึงรุ่งเช้า เพราะร่างกายถูกกำหนดมา
ก่อนออกรถควรทบทวนความพร้อมของตนเอง เช่น ถามตนเองว่าขณะนี้เรากำลังอยู่ที่ไหน เพิ่งผ่านที่ไหนมา และกำลังจะไปที่ไหน เหลือระยะทางอีกเท่าไร ถ้าตอบคำถามไม่ได้แม้เพียงหนึ่งข้อ ก็หมายความว่าร่างกายยังไม่พร้อม การขับต่อไปอาจนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุ การนอนหลับพักผ่อนเท่านั้นที่จะช่วยป้องกันความเหนื่อยล้าและป้องกันการหลับใน
การเตรียมรถ อุปกรณ์ประจำรถ จำเป็นต้องมีติดรถไว้ ตรวจดูชุดเครื่องมือ อุปกรณ์จำพวก สายพ่วง สายลาก ควรติดรถหากไม่มีก็มองหาทีหนีทีไล่เอาไว้ การมีอุปกรณ์เหล่านี้ ในแง่ดี แม้ไม่ได้ใช้เอง ก็สามารถเอาไว้ช่วยเหลือคนอื่นได้ หาไฟสปอตไลท์ที่สามารถต่อใช้งานจากรถไว้หนึ่งดวง หรือถ้าไม่มีจริงๆ ก็หาไฟฉายคุณภาพดีๆ ติดไว้ น้ำมันเชื้อเพลิง มีโอกาสก็ควรจะเติมให้เต็มถัง โดยเฉพาะเมื่อจะต้องผ่านเส้นทางที่ขาดแคลนสถานีบริการเท่านั้นก็พร้อมจะเดินทาง
รู้จักการดูแลรักษารถขั้นพื้นฐาน (Basic Vihicle Maintenance)
ตรวจความพร้อมของระบบไฟและสัญญาณไฟต่างๆ ระดับน้ำมันเครื่อง ระดับน้ำหล่อเย็น ระดับน้ำสำหรับฉีดทำความสะอาดกระจก ระดับสายพานว่าหย่อนหรือไม่ และที่สำคัญคือ สารเหลวที่เกี่ยวข้องกับระบบการขับเคลื่อน เช่น น้ำมันเบรก น้ำมันเพาเวอร์ น้ำมันเกียร์ และรายการอื่นๆ นอกจากที่กล่าวมา มีผู้ขับขี่หลายคนที่ไม่เคยทดสอบการทำงานของระบบฉีดน้ำล้างกระจกและการทำงานของใบปัดน้ำฝน
อีกประการหนึ่ง คือ การตรวจสอบประสิทธิภาพการเบรกก่อนจะเคลื่อนรถทุกครั้ง นอกจากนี้ให้ดูแลยางเป็นพิเศษ ยางไม่พร้อม การเดินทางเกิดขึ้นไม่ได้ และหากว่าล้อหมุน ไปแล้ว เกิดยางไม่พร้อมกลางทาง ต้องแก้ไข ความเร็วรถระดับร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงกับ หน้ายางสัมผัสพื้นแค่ฝ่ามือ ไม่มีทางที่จะปลอดภัย สภาพยางต้องไม่มีร่องรอยฉีกขาด บวม หรือดอกยางสึกเกินไป การวัดลมยาง ต้องให้พอดีกับผู้ผลิตรถแนะนำ และหากไม่รู้ว่าจะมี น้ำหนักบรรทุกรออยู่ระหว่างทางข้างหน้าหรือไม่ ให้เพิ่มเผื่อไว้ มากกว่าปกติ 2-3 ปอนด์ การสูบลมยางไว้ที่ สเปกบรรทุก ดีกว่า การปล่อยให้รถรับน้ำหนัก โดยไม่เติมลม ยางแข็งจะปลอดภัยกว่ายางอ่อน เพราะว่ายางอ่อน เวลาวิ่งโครงสร้างยางจะเสียดสีกันเอง ก่อให้เกิดความร้อนและนำมาซึ่งยางระเบิด
เทคนิคการขับรถเชิงป้องกัน (Defensive Driving Tactics)
เทคนิคมีหลายประการ เริ่มต้นตั้งแต่ การปรับท่านั่งเก้าอี้ การจับพวงมาลัย การแซง การเบรก แต่เทศกาลเรามักจะต้องขับรถในความมืดของกลางคืน ดังนั้น จึงขอหยิบยกการขับขี่กลางคืนมาเป็นตัวอย่าง ก่อนอื่นเราต้องถามตัวเราเองว่า อุบัติเหตุที่เกิดกลางคืนนั้นเกิดเพราะอะไร? หากบอกว่า เกิดเพราะมีสิ่งกีดขวาง หรือ เพราะจอดรถโดยไม่เปิดไฟ หรือเกิดเพราะขับมาด้วยความเร็วสูง สิ่งที่กล่าวมานั้นมีส่วนถูกแต่ไม่ทั้งหมด เพราะว่าไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริงของอุบัติเหตุ แต่เป็นเพียงเหตุเบื้องต้นเท่านั้น ปัจจัยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดอุบัติเหตุที่เกิดในเวลากลางคืน คือ เกิดจากการมองเห็นในระยะกระชั้นชิดมากเกินไป จนไม่สามารถเบรกหยุดได้ทัน เนื่องจากความเร็วกับระยะการเบรกไม่สัมพันธ์กัน
ดังนั้น ทุกครั้งที่ต้องขับรถกลางคืน ควรใช้ความเร็วให้สอดคล้องกับระยะไฟส่องสว่างข้างหน้า เช่น "ไฟต่ำ" ของรถนั่งส่วนบุคคลทั่วไปจะส่องสว่างประมาณไม่เกิน 60 เมตร หมายความว่าควรจะใช้ความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชั่วโมง เพราะหากเร็วมากกว่านั้นระยะเบรกจะเพิ่มขึ้น สำหรับกรณีที่ต้องการใช้ความเร็วมากกว่านั้น เพราะต้องการถึงจุดหมายปลายทางให้เร็ว แนะนำว่าให้ขับตามรถคันอื่นๆ ที่วิ่งเร็วกว่า หลักการตามรถคันอื่นๆ ควรเลือกขับตามรถที่ลักษณะเหมือนกัน รถเล็กไม่ควรขับตามรถใหญ่เพราะหากมีก้อนหิน หรือสิ่งกีดขวางรถใหญ่จะวิ่งผ่านไปได้ แต่รถเล็กจะไม่สามารถผ่านได้เนื่องจากระดับความสูง ขนาดเส้นรอบวงยางต่างกัน ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุได้ เมื่อขณะขับไปบนท้องถนนและไม่มีรถคันอื่นๆ วิ่งสวนทางมาหรือมีรถไม่มากก็สามารถเปิด "ไฟสูง" ซึ่งจะทำให้ระยะการมองเห็นยาวไกลขึ้น
แนวทางปฏิบัติในกรณีฉุกเฉิน
ประเด็นเรื่องการเตรียมพร้อม ในกรณีเกิดอุบัติเหตุ หากเตรียมพร้อมไว้ได้ก็จะเป็นการดี เหตุฉุกเฉินเบื้องต้น เราอาจจะต้องการยาในกรณียาสามัญประจำรถ มีติดเอาไว้ก็ไม่เสียหาย ประเภทยาดม ยาทาแก้ปวด ยาแดง ทิงเจอร์ การได้รับบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ จะได้รับการบรรเทา นอกจากนี้เราควรจะมีเบอร์โทรศัพท์ ประกันภัยสำคัญๆ เช่น หน่วยกู้ภัย ญาติพี่น้อง ตำรวจทางหลวง (1193) เพื่อแจ้งเหตุ สอบถามจราจรทางลัด ทางเลี่ยง อุบัติเหตุ กรณีมีความจำเป็นให้นึกถึงขั้นตอนง่ายๆ ถึงรายการที่จะต้องทำเมื่อได้รับอุบัติเหตุ ทั้งหมดคือการเตรียมพร้อมและหากทำได้พร้อมก็ไม่ต้องกังวลอะไรกับการเดินทางช่วงปีใหม่ ขอให้ทุกท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพ
นั่งขับและจับพวงมาลัยพื้นฐานขับขี่ปลอดภัย
ปัจจุบันรถยนต์ได้ติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ เข้าไปในรถมากมาย แต่อุปกรณ์และเทคโนโลยีก็เป็นเพียงเครื่องบรรเทาความรุนแรงจากอุบัติเหตุ หรือไม่ก็ลดความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุเท่านั้น "ความปลอดภัย" จะเกิดก็ต่อเมื่อผู้ขับเองต้องเพิ่มทักษะของตัวเองและมีความรู้
ตำแหน่งการนั่งขับ
การนั่งขับรถไม่ใช่เพียงเพื่อความสบายในการขับขี่เท่านั้น แต่เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ท่านขับขี่อย่างปลอดภัยด้วย เพราะท่านั่งทำให้คนขับสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างทันที การนั่งที่ถูกต้อง ควรปรับระดับความสูงของเบาะให้สามารถมองเห็นถนนและด้านหน้าของรถ เหนือระดับพวงมาลัยได้อย่างชัดเจน ในขณะเดียวกัน สายตาของผู้ขับ ต้องสามารถมองเห็นอุปกรณ์สำคัญๆ ภายในหน้าปัดของรถได้ด้วย
การปรับระดับการนั่ง การนั่งที่ดีจะทำให้ลดการบาดเจ็บเมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือเหตุสุดวิสัย ลองคว่ำฝ่ามือ แล้ววางส่วนข้อมือตรงส่วนบนสุดของพวงมาลัย (ตำแหน่ง 12 นาฬิกา) โดยที่ไหล่ของคุณยังคงชิดกับพนักพิง นี่คือการวัดระยะห่างของตัวเราจากพวงมาลัยที่ถูกต้อง ความสมบูรณ์ของการควบคุมพวงมาลัย คือสามารถเลี้ยวรถโดยมือไม่หลุดจากพวงมาลัย หลังติดเบาะ
การนั่ง ต้องแน่ใจว่าส่วนบนของพนักพิงศีรษะอยู่ในระดับคิ้ว ซึ่งเป็นการปรับพนักพิงศีรษะที่ถูกต้อง จากนั้นลองเหยียบคลัทช์หรือเบรก (กรณีเป็นรถเกียร์อัตโนมัติ) จนสุด ในขณะที่หลังต้องชิดกับเบาะ และมือของคุณอยู่ที่ ตำแหน่ง 9 และ 15 นาฬิกา ของพวงมาลัยโดยไม่ต้องเอี้ยวตัว แน่ใจได้เลยว่าเป็นตำแหน่งการนั่งในระยะที่ถูกต้อง
ระยะการวางขา เป็นสิ่งสำคัญ ระยะที่ควรจะเป็นนั้น ให้ใช้หลังพิงพนักในขณะที่กดเท้าซ้ายลงไปเบาๆ บนแป้นเบรก หรือคลัทช์ ลำตัวผู้ขับจะต้องชิดกับพนักพิง ซึ่งตัวพนักพิงจะช่วยให้เกิดความมั่นคง เมื่อกดแป้นคลัทช์หรือเบรกจนสุด เข่าจะต้องอยู่ในลักษณะงอเล็กน้อย เพื่อช่วยลดการบาดเจ็บที่กระดูกเชิงกรานเมื่อเกิดอุบัติเหตุ
เข็มขัดนิรภัย
ในการขับขี่รถยนต์ สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ เข็มขัดนิรภัย เมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือเมื่อคุณเบรกอย่างรุนแรง เข็มขัดจะช่วยยึดลำตัวของผู้ขับหรือรัดให้แน่นขึ้น เพื่อให้แผ่นหลังชิดกับพนักพิงโดยไม่หลุดออกไปหน้ารถ เข็มขัดนิรภัย ยังมีส่วนช่วยให้การนั่งขับมีความมั่นคง ส่งผลถึงการควบคุมพวงมาลัยได้อิสระเมื่อรถมีแรงเหวี่ยงโดยไม่ต้องฝืนตัวต้านแรง เพราะเข็มขัดจะรั้งให้ตำแหน่งการนั่งของคุณอยู่บนเก้าอี้อย่างมั่นคง
1. เมื่อคาดเข็มขัด สายเข็มขัดควรจะแนบกับลำตัว (อย่าใช้อุปกรณ์เหนี่ยวรั้งอื่นๆ)
2. ตรวจสอบเข็มขัดโดยการดึง และระวังอย่าให้เข็มขัดบิด
3. ควรปรับระดับเข็มขัดตรงสะโพก เพื่อให้เข็มขัดพาดอยู่ตรงกลางกระดูกเชิงกราน
4. คาดเข็มขัดนิรภัยก่อนติดเครื่องยนต์เสมอ

เกร็ดเล็กๆเรื่อง การเติมลมไนโตรเจน
ประโยชนจากการเติมไนโตรเจน *ช่วยเพิ่มอายุการใช้งานของยางได้ประมาณ 25%
1. การรั่วซึมของลมยางเกิดขึ้นช้าลง เนื่องจากโมเลกุลของเเก๊สไนโตรเจนที่เป็นเเก๊สเฉื่อย จะหนาเเน่นกว่าโมเลกุลของอากาสธรรมดาที่มีเเก๊สออกซิเจนปนอยู่ด้วยดังนั้นโมเลกุลของเเก๊สไนดตรเจนจึงซึมออกจากโมเลกุลของเนื้อยางได้ช้ากว่าโมเลกุลของเเก๊สออกซิเจน
- ไม่ค้องตรวจเช็คลงยางกันบ่อยๆ[จากเดิมเช็คอาทิตละครั้ง ก็เปลี่ยนเป็นเดือนละครั้ง]
- ประหยัดน้ำมันเชื่อเพลิงเพราะเเรงดันยางไม่ลดลงตำหว่าเกณฑ์มาตรฐาน
- ให้ประสิทธิภาพในการขับขี่ที่ดี ทั้งการทรงตัวเเละการเบรคเพราะยางมีเเรงดันที่เหมาะสมตลอดเวลา
2. อุณหภูมิของยางไม่ร้อนจัดในขณะขับขี่ เนื่องจากไม่มีเเก๊สอ๊อกซิเจนซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความชื้นหรือไอน้ำขึ้นในระบบซึ่งเป็นตัวการสำคัญในการทำให้เกิดความร้อนเเละการขยายตัวของเเรงดันยาง
- อายุการใช้งานของยางยาวนานขึ้นเนื่องจากเกิดความร้อนสะสมในขระขับเคลื่อนน้อยกว่าเดิม
- ลดโอกาสเสี่ยงในการระเบิดของยางเนื่องจากลดความร้อนสูงในขณะขับขี่ลงไปได้มาก
3. ลดการขยายตัวของเเรงดันภายในยาง ด้วยคุณสมบัติที่เป้นเเก๊สเฉื่อยเเก๊สไนโตรเจนจะช่วยลดการขยายตัวของเเรงดันภายในยางซึ่งเกิดจากความร้อนที่เกิดขึ้นทั้งจากการเสียดสีของเนื้อยางกับผิวถนนเเละความร้อนที่เกิดจากโครงสร้างของยางเอง
-สมรรถนะในการขับขี่ของรถคงที่ตลอดเวลาเพราะเเรงดันของยางเปลี่ยนเเปลงน้อยกว่าจึงเป็นที่นิยมอย่างมากโดนเฉพาะรถเเข่งที่ต้องการสมรรถนะในการยึดเกาะถนนสูงสุดโดยไม่เปลี่ยนเเปลง
- ลดความสั่นสะเทือนในการขับขี่ด้วยความเร็วสูงลดลงซึ่งเป้นผลมาจากการที่เเก๊สไนโตรเจนเกิดการขยายตัวน้อยกว่าอากาศธรรมดาในขณะที่ยางเกิดความร้อน
4. ลดการเกิดออกซิเดชั่น OXIDATIONการาวมตัวของธาตุต่างๆกับออกซิเจนจนเกิดเป็นออกไซด์
- ลดการเกิดออกซิเดชั่นในโครงสร้างของยางที่ทำให้เกิดการผุกร่อนหรือเสื่อมสภาพเนื่องจากไม่มีเเก๊สออกซิเจนซึมเข้าไปทำปฎิกิริยากับโครงสร้างของยางซึ่งทำจากเหล็ก
- ลดการเกิดสนิมเเละการกัดกร่อนภายในวงล้อเนื่องจากไม่มีความชื้นภายในระบบที่เกิดจากการอัดตัวของอากาศที่มีความชื้นภายในยางซึ่งเป็นผลดีโดยเฉพาะรถที่ใช้ล้อกระทะล้อทำจากเหล็ก
ข้อเสียของการเติมไนโตรเจน
1 ราคาเเพง เพราะเครื่องเเยกเเก๊สไนโตรเจนออกจากอากาศธรรมดามีราคาเเพงมาก จึงทำให้มีต้นทุนสูงในการเติมเเต่ละครั้งสูงกว่าลมปกติหลายเท่าตัวคือประมาณ150-200
2 หาที่เติมยาก เนื่องจากมีต้นทุนสูงผู้ประกอบการบางที่ไม่มีกำลังพอที่จะซื้อเครื่องเติมเเก๊สไนโตรเจนไว้คอยบริการลูกค้า จึงทำให้ไม่เเพร่หลายเท่าที่ควร จึงหาเติมยาก
3 การควบคุมเเรงดันเเก๊สให้ปลอดภัย ตามปกติเเก๊สไนโตรเจนสำหรับการใช้งานทั่วไปจะถูกนำมาอัดในถังซึ่งมีเเรงดันอยู่สูงถึงประมาณ400=600ปอนด์ต่อตารางนิ้วดังนั้นการนำมาเติมในยางรถยนต์ทั่วๆไปที่ใช้เเรงดันตำจึงต้องมีเครื่องมือปรับเรงดันเเก๊ส[REGULATOR]ที่ออกเเบบมาเป็นพิเศษหรือเป็นเครื่องเติมเเก๊สไนโตรเจนลงในยางดดยเฉพาะเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการเติม