Part 1: เธอเคยคิดแบบนี้ไหม…
ช่วงนี้เราว่าหลายๆ คนคงคิดเหมือนกันใช่ไหมล่ะ ว่างานประจำอย่างเดียวมันไม่พอจริงๆ ทั้งค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นทุกวัน หรือบางทีก็แค่อยากจะหาอะไรสนุกๆ ทำเพิ่ม แล้วก็เกิดไอเดียอยากขายของออนไลน์ขึ้นมาในหัว แต่พอจะเริ่มจริงจัง ก็ต้องมานั่งคิดแล้วคิดอีกว่า “ต้องมีเว็บไซต์ก่อนหรือเปล่า?”
เรื่องนี้เป็นคำถามที่เพื่อนเราชื่อ “นุ่น” ซึ่งทำงานออฟฟิศเหมือนกันก็เคยมาถามเราเมื่อไม่นานมานี้ นุ่นบอกว่าเห็นคนอื่นมีเว็บไซต์สวยๆ ดูน่าเชื่อถือ แล้วก็แอบนอยด์ว่าถ้าตัวเองไม่มี คงจะขายของไม่ได้แน่ๆ เลย นุ่นบอกว่าถึงขั้นไปปรึกษาบริษัทรับทำเว็บไซต์มาแล้วด้วยนะ แต่พอเห็นราคาแล้วก็ต้องถอยกลับมาตั้งหลักก่อน
เราเลยบอกนุ่นไปว่า “ใจเย็นๆ นะแก! ไม่จำเป็นต้องมีเว็บไซต์ตั้งแต่วันแรกหรอก” ในฐานะที่เราเองก็คลุกคลีกับการขายของออนไลน์มาสักพัก เราเข้าใจเลยว่าการเริ่มต้นมันมีอะไรให้ต้องคิดเยอะแยะไปหมด การทุ่มเงินก้อนใหญ่ไปกับการทำเว็บไซต์ตั้งแต่ต้น อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเรายังไม่แน่ใจว่าสินค้าของเราจะไปได้สวยแค่ไหน
Part 2: สรุปแล้วต้องมีเว็บไซต์ไหม? แล้วถ้าไม่ใช้เว็บไซต์ จะใช้ช่องทางไหนดี?
ถ้าจะให้ตอบแบบฟันธงเลยนะ… ไม่จำเป็นต้องมีเว็บไซต์ก่อนเริ่มขายออนไลน์
ฟังดูโล่งใจขึ้นมาหน่อยใช่ไหมล่ะ?
ในยุคนี้ เรามีตัวช่วยเยอะแยะมากมายที่ทรงพลังไม่แพ้เว็บไซต์เลยนะ อย่างพวกโซเชียลมีเดียที่เราใช้กันทุกวันนี่แหละ ตัวอย่างที่ชัดเจนเลยคือ Facebook Page, Instagram Shopping, TikTok Shop หรือแม้กระทั่ง Line MyShop ช่องทางเหล่านี้มีเครื่องมือครบครันสำหรับการขาย ทั้งระบบจัดการสต๊อก การสร้างอัลบั้มสินค้า การตอบแชทลูกค้า ไปจนถึงการยิงโฆษณาเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรงเลยล่ะ
ข้อดีของการเริ่มต้นจากช่องทางเหล่านี้คือ ต้นทุนต่ำหรือแทบไม่มีเลย เราสามารถเปิดเพจ เปิดบัญชีได้ฟรีๆ แล้วก็เริ่มโพสต์ขายได้ทันทีเลย มันทำให้เราได้ลองตลาด ได้ทดสอบว่าสินค้าที่เราคิดไว้เป็นที่ต้องการจริงไหม ได้รับฟีดแบ็กจากลูกค้าแบบเรียลไทม์ ซึ่งข้อมูลพวกนี้มีค่ามหาศาลเลยนะแก
แต่ถ้าถามว่าแล้วเมื่อไหร่ที่เราควรจะมีเว็บไซต์? เราว่าน่าจะเป็นตอนที่เราเริ่มมี ลูกค้าประจำ มีฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่น และ อยากขยายธุรกิจให้ดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น หรือสินค้าของเรามีจำนวนเยอะขึ้นจนการจัดการในโซเชียลมีเดียเริ่มไม่เพียงพอแล้ว การมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือในระยะยาวได้ดีกว่ามากๆ และมันก็เป็นทรัพย์สินทางธุรกิจที่อยู่กับเราไปตลอดเลยล่ะ
Part 3: ธุรกิจโตแล้วค่อยทำ! แล้วจะเลือกบริษัทรับทำเว็บไซต์ยังไงดี?
หลังจากที่นุ่นเริ่มขายของไปได้สักพัก สินค้าของนุ่นก็เริ่มติดตลาดและขายดีจนแทบจะไม่มีเวลาจัดการเองแล้ว นุ่นเลยมาปรึกษาเราอีกครั้งว่า “แก…ตอนนี้ฉันพร้อมแล้วล่ะที่จะมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง”
เราเลยแนะนำนุ่นไปว่า “ถ้าจะเลือกบริษัทรับทำเว็บไซต์ ให้ดูที่ผลงานและประสบการณ์เป็นหลัก”
สิ่งสำคัญคือต้องดูว่าบริษัทรับทำเว็บไซต์นั้นๆ มีผลงานที่หลากหลายไหม มีเว็บไซต์ที่เคยทำมาแล้วในธุรกิจประเภทเดียวกับเราหรือเปล่า และที่สำคัญคือต้องมีทีมงานที่คอยให้คำปรึกษาและดูแลหลังการขายที่ดีด้วยนะ ไม่ใช่แค่ทำเสร็จแล้วจบกันไป เพราะการทำเว็บไซต์เป็นเรื่องของการลงทุนในระยะยาว
นอกจากนี้ เรายังแนะนำให้นุ่นลองพิจารณาถึงความต้องการของตัวเองให้ชัดเจนก่อนว่า อยากได้เว็บไซต์แบบไหน เช่น อยากได้แค่หน้าเดียวสำหรับโชว์สินค้า หรืออยากได้แบบมีระบบตะกร้าสินค้า ระบบชำระเงินออนไลน์ที่ใช้งานง่ายๆ ด้วย เพราะการที่เราระบุความต้องการได้ชัดเจน จะทำให้เราได้เว็บไซต์ที่ตอบโจทย์จริงๆ และไม่เปลืองงบประมาณโดยไม่จำเป็น
Part 4: เมื่อธุรกิจเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว… จะจัดการเรื่องการเงินและการสต็อกสินค้ายังไงดี?
พอธุรกิจเริ่มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ การจัดการเรื่องอื่นๆ ก็สำคัญไม่แพ้กันเลยนะ อย่างเรื่อง การเงิน และ การจัดการสต็อก เราเห็นเพื่อนหลายคนเริ่มขายดีจนลืมไปว่ากำไรจริงๆ มันคือเท่าไหร่กันแน่
วิธีที่เราใช้และอยากแนะนำคือ การทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายอย่างง่ายๆ อาจจะเริ่มจากใช้โปรแกรม Excel หรือแม้แต่แอปพลิเคชันจดบันทึกก็ได้ ขอแค่ให้เราสามารถสรุปได้ว่าในแต่ละเดือนเรามีรายรับ รายจ่าย และกำไรที่แท้จริงเท่าไหร่ เพื่อที่เราจะได้รู้สถานะทางการเงินของธุรกิจตัวเองอย่างชัดเจน
ส่วนเรื่อง การจัดการสต็อก เราว่ามันคือหัวใจสำคัญเลยนะ เพราะถ้าเราบริหารสต็อกไม่ดี อาจจะทำให้เกิดปัญหาของขาดสต็อกจนเสียลูกค้า หรือมีของเหลือค้างสต็อกจนเงินจมได้
เทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ที่เราอยากแนะนำคือ การทำสต็อกการ์ด หรือการใช้โปรแกรมจัดการสต็อกที่ใช้งานง่ายๆ เพื่อให้เรารู้ว่าสินค้าแต่ละชิ้นมีจำนวนคงเหลือเท่าไหร่ มีของอะไรที่ใกล้จะหมดแล้วบ้าง จะได้สั่งมาเติมได้ทันเวลา
สิ่งเหล่านี้อาจจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่พอธุรกิจเริ่มใหญ่ขึ้นมาแล้วเนี่ย มันจะช่วยลดความวุ่นวายและทำให้เราจัดการทุกอย่างได้อย่างเป็นระบบมากขึ้นนะ เหมือนที่เราเคยได้ยินมาว่าบริษัทรับทำเว็บไซต์เก่งๆ มักจะมีระบบหลังบ้านที่ช่วยให้เราจัดการสินค้าได้ง่ายขึ้นด้วยนะ
Part 5: ก้าวต่อไปที่น่าสนใจ… จากแม่ค้าออนไลน์สู่เจ้าของแบรนด์!
เราว่าการขายออนไลน์มันไม่ใช่แค่การซื้อมาขายไปแล้วนะแก แต่มันคือโอกาสที่เราจะได้สร้างแบรนด์ของตัวเองขึ้นมาด้วย
พอธุรกิจของนุ่นเริ่มมั่นคงขึ้น นุ่นเริ่มมีความคิดที่จะสร้างแบรนด์ของตัวเองอย่างจริงจัง เริ่มจากการสร้าง จุดเด่น ที่แตกต่างจากคู่แข่ง พัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพดีขึ้น หรือแม้แต่การสร้าง เรื่องราว (Story) ที่น่าสนใจให้กับแบรนด์
การมีเรื่องราวที่น่าสนใจจะทำให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกผูกพันกับแบรนด์ของเรามากขึ้นนะ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราขายเครื่องประดับ เราอาจจะเล่าเรื่องราวว่าทำไมถึงอยากทำเครื่องประดับเหล่านี้ขึ้นมา หรือแรงบันดาลใจของเรามาจากไหน
การสร้างแบรนด์ที่ดีจะทำให้ลูกค้าไม่ได้ตัดสินใจซื้อแค่เพราะราคาถูกเท่านั้น แต่จะตัดสินใจซื้อเพราะ ความชอบและความเชื่อมั่นในตัวแบรนด์ของเรา ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยสร้างความภักดีของลูกค้าและทำให้ธุรกิจของเราเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในระยะยาวเลยล่ะ
ไม่ว่าจะเริ่มต้นแบบไหน… ก็สามารถเป็นเจ้าของธุรกิจออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จได้!
สุดท้ายนี้ เราอยากจะบอกว่าไม่ว่าเธอจะตัดสินใจเริ่มต้นขายออนไลน์ด้วยการใช้โซเชียลมีเดีย หรือมีทุนมากพอที่จะลงทุนกับบริษัทรับทำเว็บไซต์ตั้งแต่วันแรก สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความตั้งใจและไม่หยุดที่จะเรียนรู้
การทำธุรกิจออนไลน์มันคือการเดินทางที่ต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา เพราะโลกออนไลน์เปลี่ยนแปลงไปเร็วมากๆ ดังนั้น การที่เราเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคการตลาดใหม่ๆ การอัพเดทฟีเจอร์ของแพลตฟอร์มต่างๆ หรือแม้แต่การพัฒนาสินค้าให้ดีขึ้นอยู่เสมอ จะทำให้เราสามารถก้าวเดินต่อไปบนเส้นทางนี้ได้อย่างมั่นคง
อย่างที่นุ่นเพื่อนเราพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า จากแม่ค้าออนไลน์ที่เริ่มต้นจากศูนย์ ตอนนี้ก็สามารถสร้างแบรนด์ของตัวเองจนเป็นที่รู้จักได้ ขอแค่มีความเชื่อมั่นในตัวเองและความมุ่งมั่น เราก็สามารถสร้างธุรกิจในฝันให้เป็นจริงได้แน่นอน!